การจัดองค์การของพรรคการเมืองไทย
ในฐานะที่เป็นองค์กรอย่างหนึ่งในสังคมที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการในการทำงาน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องมีการจัดองค์การ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
กระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการจัดองค์การของพรรคการเมืองก็คือ การระดมทรัพยากรทั้งหลาย เช่น ตัวบุคคล วิธีการจัดการ และเงิน มาใช้ในการดำเนินการด้านต่างๆ และประสานงานระหว่างหน่วยงานของพรรค เพื่อให้ประสบความสำเร็จ ในการทำงานทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้ง การทำงานด้านนิติบัญญัติ การบริหารประเทศในฐานะรัฐบาล หรือการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ
ดังนั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายในการจัดองค์การดังกล่าวนี้ได้ อย่างน้อยที่สุด พรรคการเมืองจะต้องดำเนินการรับบุคคลกลุ่มต่างๆ เข้ามาเป็นสมาชิก จัดตั้งสาขาพรรค กำหนดแบบแผนในการดำเนินงาน หรือโครงสร้างพรรค และหารายได้จากแหล่งต่างๆ เข้าพรรค มิฉะนั้น พรรคจะไม่มีทั้งคน แบบแผนในการบริหาร และทุนในการทำงานทางการเมือง
การรับสมาชิกของพรรคการเมือง
การรับสมาชิกของพรรคการเมืองไทยในปัจจุบัน จะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ กฎหมายพรรคการเมืองฉบับนี้ ได้ระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิก ของพรรคการเมืองไว้ว่า ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ และไม่มีลักษณะที่ต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้แล้ว กฎหมายดังกล่าว ยังมีข้อบังคับ ให้พรรคการเมืองต้องดำเนินการ จัดหาสมาชิกจากทุกภาคให้ได้ ไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คน ภายใน ๑๘๐ วัน นับตั้งแต่จดทะเบียนก่อตั้งพรรค
การประชุมของพรรคการเมือง ร่วมกับสมาชิกพรรค
นอกจากคุณสมบัติและจำนวนสมาชิกที่จะต้องเป็นไปตามกฎหมายแล้ว พรรคการเมืองไทยแต่ละพรรคมักวางระเบียบ ในการรับสมาชิก เพิ่มเติมเข้าไปด้วย ดังที่เรามักจะเห็นในระเบียบของพรรคต่างๆ เกี่ยวกับประเภทของสมาชิก คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิก วิธีการรับสมาชิก ค่าลงทะเบียนสมาชิก และค่าบำรุงพรรค
ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์
ในด้านประเภทของสมาชิกพรรคการเมืองไทย ส่วนใหญ่มักวางระเบียบให้มีสมาชิกมากกว่า ๑ ประเภท กล่าวคือ ทุกพรรคจะรับสมาชิกสามัญจากประชาชนทั่วไปเหมือนๆ กัน แต่จะมีสมาชิกพิเศษเพิ่มเติมเข้ามาอีกอย่างน้อย ๑ ประเภท สมาชิกประเภทนี้ อาจมีชื่อ และคุณสมบัติต่างกันไปตามที่แต่ละพรรคการเมืองกำหนด เช่น สมาชิกกิตติมศักดิ์ สมาชิกสมทบ สมาชิกวิสามัญ และสมาชิกผู้บริหาร ซึ่งสมาชิกสมทบ และสมาชิกวิสามัญ มักจะรับจากผู้ที่ขาดคุณสมบัติบางอย่าง ของสมาชิกสามัญ เช่น อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ส่วนสมาชิกกิตติมศักดิ์ หรือสมาชิกผู้บริหารเป็นบุคคลที่พรรคเจาะจง เชิญเข้ามาเป็นสมาชิก ในขณะที่การมีสมาชิกสมทบ หรือสมาชิกวิสามัญ แสดงถึงความพยายามของพรรคการเมืองไทยบางพรรค ที่จะสร้างพรรคของมวลชน การกำหนดให้มีสมาชิกกิตติมศักดิ์ หรือสมาชิกผู้บริหาร ก็สะท้อนถึงแนวคิดแบบพรรคของชนชั้นนำ ที่มีอยู่ในพรรคการเมืองไทย เพราะสมาชิกประเภทนี้ มีสถานภาพบางอย่าง เหนือกว่าสมาชิกสามัญทั่วไป อาทิ เป็นผู้มีอุปการคุณต่อพรรค เป็นผู้ที่กรรมการบริหารพรรคมีมติให้เชิญมาเป็นสมาชิก และเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ ที่พรรคเชิญให้เป็นสมาชิก
กรณีของการรับสมาชิกสามัญพรรคการเมืองไทยบางพรรคยังระบุคุณสมบัติของผู้สมัครเพิ่มเติมว่า ต้องมีความเลื่อมใส ในอุดมการณ์ของพรรค บ้างก็วางระเบียบให้การอนุมัติให้ผู้ใดเป็นสมาชิกพรรค จะต้องเป็นมติ ของคณะกรรมการบริหารพรรค ขณะที่บางพรรคไม่ได้กำหนดเงื่อนไขพิเศษใดๆ
ที่ทำการพรรคไทยรักไทย
ไม่ว่าพรรคการเมืองจะมีทิศทางในการ รับสมาชิกพรรคอย่างไร แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักมีสมาชิกจำนวนจำกัด การเติบโตของจำนวนสมาชิกเป็นไปอย่างเชื่องช้า พรรคการเมืองหลายพรรค พยายามหาสมาชิกเข้าพรรค เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นพรรคของมวลชน แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ถึงแม้ว่า แต่ละพรรคการเมืองจะมีจำนวนของสมาชิก เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด แต่คนเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสมาชิกพรรคเพียงในนาม และไม่เคยมีบทบาทใดๆ ในพรรค หลายคนอาจเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมากกว่า ๑ พรรค บางคนอาจมีชื่อเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยไม่รู้ตัว เพราะมีผู้นำชื่อไปใส่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบ
สาขาของพรรคการเมือง
ด้วยเหตุที่กฎหมายพรรคการเมืองฉบับปัจจุบันมีข้อบังคับให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคต้องมีสาขาอย่างน้อยภาคละ ๑ สาขา ภายใน ๑๘๐ วัน นับตั้งแต่จดทะเบียนก่อตั้งพรรค ทุกพรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องจัดตั้งสาขาพรรคขึ้นในทุกภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การขยายสาขา ของพรรคการเมืองไทยก็ช้าพอๆ กับการเติบโตของสมาชิกพรรค พรรคการเมืองส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมีสาขาพรรค แม้กระทั่งพรรคการเมืองเก่าแก่ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังมีสาขาพรรคไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๙ พรรคนี้ยังมีสาขาอยู่เพียง ๑๙๔ แห่งทั่วประเทศ แต่ก็นับว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีสาขาพรรคมาก ทั้งนี้เพราะ ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ พรรคชาติไทยที่เก่าแก่รองลงมา มีสาขาพรรคเพียง ๙ แห่ง เท่านั้น