การจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทั้งอย่างใหญ่ และอย่างน้อย เป็นการพระราชพิธีสำคัญที่มีความเป็นระเบียบแบบแผนตามโบราณราชประเพณี และเกี่ยวเนื่องกับองค์ประกอบอื่นที่จำเป็นอีกหลายประการ ได้แก่ การจัดตำแหน่งกระบวนเรือ การแต่งกายของฝีพาย และจังหวะในการพายเรือ โดยมีสิ่งสำคัญที่ถือได้ว่า เป็นหัวใจของกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคก็คือ การเห่เรือ ซึ่งมีวิธีการและขั้นตอน ดังนี้
๑. ระเบียบวิธีในการเห่เรือ
การเห่เรือในปัจจุบันยังคงรักษารูปแบบในสมัยโบราณไว้ แต่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการ และขั้นตอนบางประการไปตามข้อจำกัดของปัจจัยแวดล้อมตามความเหมาะสม คือ
- การจัดกระบวนเรือ จะจัดเรือทุกลำไว้กลางแม่น้ำ ยกเว้นเรือพระที่นั่งทรงและเรือพระที่นั่งรอง จะจอดเทียบท่าเพื่อรอเสด็จพระราชดำเนินก่อน การจัดและควบคุมกระบวนเรือทั้งหมดเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการกระบวนเรือ โดยใช้สัญญาณแตร และผู้บัญชาการกระบวนเรือจะต้องประจำอยู่ในเรือกลองใน หรือเรือแตงโม ซึ่งแล่นนำหน้าเรือพระที่นั่ง
- เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึง และประทับในเรือพระที่นั่งทรงแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของนายเรือเป็นผู้ให้สัญญาณจับพายด้วยการรัวกรับ และให้สัญญาณมือแก่ผู้ถือแพนหางนกยูง หัวเรือพระที่นั่ง เพื่อโบกแพนหางนกยูงให้สัญญาณเริ่มเดินพายแก่ฝีพายอีกทอดหนึ่ง
- การให้จังหวะในการพายเรือพระที่นั่ง จะใช้กรับแทนการกระทุ้งเส้าให้จังหวะแก่ฝีพาย
- การเห่เรือในกระบวนพยุหยาตราอย่างใหญ่ แต่เดิมต้นเสียงจะต้องเห่ในเรือพระที่นั่งทรง และห่างจากบุษบก ๑ เมตร แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเห่ในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และมีฝีพายเป็นลูกคู่รับ การรับจะร้องรับเพียงลำเดียวเท่านั้น ลำอื่นๆ ไม่ต้องร้องรับ
- การเห่เรือในกระบวนพยุหยาตราอย่างน้อย กระบวนราบใหญ่ และกระบวนราบน้อย ต้นเสียงจะต้องเห่ในเรือทรงผ้าไตร
- พนักงานเห่เรือ จะเริ่มเกริ่นเห่เรือ เกริ่นโคลงได้ เมื่อเรือพระที่นั่งทรงออกจากท่า แล้วกำลังจะเข้ากระบวน เมื่อเกริ่นโคลงจบ เรือพระที่นั่งก็พร้อมที่จะเคลื่อนตามเรือทั้งกระบวนพอดี
- การขานเสียงรับ ฝีพายจะขานรับข้ามที่ประทับไม่ได้ เช่น ต้นเสียงเห่อยู่ตอนหัวเรือ ก็ให้ขานรับเฉพาะฝีพายที่อยู่ตอนหัวเรือ ฝีพายท้ายเรือขานรับไม่ได้ ถือว่าการขานเสียงข้ามที่ประทับเป็นเรื่องต้องห้าม
- พลฝีพายในเรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งรอง และเรือทรงผ้าไตร ทั้ง ๓ ลำนี้ สำนักพระราชวังจะเป็นผู้กำหนดให้แต่งกายรับเสด็จอย่างเต็มยศ หรือครึ่งยศ หากแต่งกายเต็มยศ พลฝีพายใช้พายเงินพายทอง แต่หากแต่งกายปกติ จะแต่งกายดำ สวมหมวกกลีบลำดวน ใช้พายทาน้ำมัน
- ท่าพายเรือที่ใช้สำหรับพายในเรือพระที่นั่งจะเป็นท่านกบินเป็นหลัก หากจะเปลี่ยนท่าพายเรือ ต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อนเสมอ
- การเสด็จพระราชดำเนินกลับ หากเป็นยามพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ต้องโห่ ๓ ลา ก่อน จึงจะออกเรือพระที่นั่งได้
๒. ทำนองที่ใช้ในการเห่เรือ
เป็นการให้จังหวะแก่ฝีพายให้พายตามจังหวะทำนองการร้อง เพื่อบังคับให้เรือแล่นไปอย่างเป็นระเบียบสวยงามและพร้อมเพรียงกัน ทำนองที่ใช้ในการเห่เรือปัจจุบันมี ๓ ทำนอง คือ ช้าละวะเห่ มูลเห่ และสวะเห่
ก่อนการเริ่มต้นเห่เรือตามทำนองนั้น เมื่อเรือพระที่นั่งทรงเริ่มออกจากท่ามาเข้ากระบวน พนักงานต้นเสียงเห่เรือก็จะขึ้นต้น เกริ่นเห่ เป็นทำนองตามเนื้อความในโคลงสี่สุภาพก่อน จึงมักเรียกว่า เกริ่นโคลง บทเกริ่นที่ถือว่า ไพเราะ และยึดถือเป็นแบบอย่างมาจนปัจจุบันนี้ คือ โคลงสี่สุภาพ บทเห่ชมเรือกระบวนพระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร การเกริ่นโคลงเป็นการให้สัญญาณเตือนฝีพาย ให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม เมื่อจบเกริ่นโคลง เรือพระที่นั่งทรง ก็เข้าที่ และพร้อมเคลื่อนตามกระบวนได้ พนักงานนำเห่จึงเริ่มการเห่ตามทำนอง คือ
๑. ช้าละวะเห่ หรือในการเห่เรือเล่น เรียกว่า เห่ช้า เป็นทำนองที่ใช้เริ่มต้นการเห่ มีจังหวะช้าๆ ท่วงทำนองไพเราะ ถือเป็นการให้สัญญาณเริ่มต้นเคลื่อนเรือในกระบวนทุกลำไปพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ บทนี้ขึ้นต้นว่า
“เห่เอ๋ย...พระเสด็จ...โดย...แดน (ลูกคู่รับ โดยแดนชล)”
การเห่ทำนองช้าละวะเห่นี้ ฝีพายจะอยู่ในท่าเตรียมพร้อม จนกระทั่งลูกคู่รับท้ายต้นเสียง จึงเริ่มจังหวะเดินพายจังหวะที่ ๑ บทเห่ที่เป็นตัวอย่างในตอนที่เป็นทำนองช้าละวะเห่ คือ บทที่เป็นกาพย์ยานีบทแรก ในพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ความว่า
“พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน ”
๒. มูลเห่ หรือในการเห่เรือเล่น เรียกว่า เห่เร็ว เป็นการเห่ในจังหวะกระชั้นกระชับ พนักงานนำเห่ แล้วลูกคู่จะรับว่า ชะ...ชะ...ฮ้าไฮ้ และต่อท้ายบทว่า เฮ้ เฮ เฮ เฮ...เห่ เฮ ฝีพายจะเร่งพายให้เร็วกว่าเดิมตามจังหวะกระทุ้งเส้า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในตำนานเห่เรือว่า มูลเห่ คงหมายความว่า เห่เป็นพื้น ใช้ขณะพายเรือทวนน้ำ ต้องพายหนักแรง จึงพายจังหวะเร็วขึ้น และใช้เห่ทำนองเร็ว มีพลพายรับ “ฮะไฮ้”
การเห่ทำนองมูลเห่นี้เป็นทำนองที่ใช้ ขณะเดินทางไปเรื่อยๆ เป็นทำนองยืนพื้น พนักงานเห่จะร้องตามบทเห่เป็นทำนอง แล้วฝีพายจะรับตลอด มูลเห่จึงเป็นทำนองที่สนุกสนาน ใช้ประกอบการพายพากระบวนเรือไปจนเกือบถึงที่หมาย บทเห่ที่เป็นตัวอย่างในทำนองมูลเห่ จากกาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ความว่า
“คชสีห์ทีผาดเผ่น ดูดั่งเป็นเห็นขบขัน
ราชสีห์ที่ยืนยัน คั่นสองคู่ดูยิ่งยง”
๓. สวะเห่ เป็นการเห่เมื่อใกล้จะถึงที่หมาย พนักงานนำเห่และพลพายจะต้องจำทำนองและเนื้อความทำนองสวะเห่ให้แม่น เพราะต้องใช้ปฏิภาณคะเนระยะทาง และใช้เสียงสั้นยาวให้เหมาะแก่สถานการณ์ นับว่าเป็นการเห่ที่ยากที่สุด แต่แสดงความสง่างามของกระบวนเรือได้ดี
การเห่ทำนองสวะเห่เป็นทำนองเห่ตอนนำเรือเข้าเทียบท่าหรือฉนวน คือ เมื่อขึ้นทำนองเห่นี้ ก็เป็นสัญญาณว่า ฝีพายจะต้องเก็บพายโดยไม่ต้องสั่งพายลง บทเห่ทำนองนี้ ขึ้นต้นว่า “ช้าแลเรือ” ลูกคู่รับ “เฮ เฮ เฮ เฮโฮ้ เฮโฮ้” วรรคสุดท้ายจบว่า “ศรีชัยแก้ว พ่อเอ๋ย” ลูกคู่รับ “ชัยแก้วพ่ออา” เรือพระที่นั่งก็จะเข้าเทียบท่าพอดี และจบบทเห่
บทเห่ที่เป็นตัวอย่างของสวะเห่ในปัจจุบัน พันจ่าเอก เขียว ศุขภูมิ แต่งขึ้นใหม่ เนื่องจากบทสวะเห่ในกาพย์เห่เรือพระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไม่เหมาะสม ตัวอย่างของบทสวะเห่ปัจจุบัน มีความว่า
“ช้าแลเรือ (ลูกคู่รับ เฮ เฮ เฮ)
เฮโฮ้ เฮโฮ้ (ลูกคู่รับ เฮโฮ้ เฮโฮ้)
เฮโฮ้ เฮเฮ (ลูกคู่รับ เฮโฮ้ เฮโฮ้)
เจ้าเอ๋ยก็พาย (ลูกคู่รับ พี่ก็พาย)
พายเอ๋ยพายลง (ลูกคู่รับ พายลงให้เต็มพาย)
โอ้ละเห่เห (ลูกคู่รับ โอ้เห่ เฮ เฮ เฮ)
โอ้เห่มารา (ลูกคู่รับ โอ้เห่มารา โอ้เห่มารา)
โอ้เห่เจ้าคะ (ลูกคู่รับ โอ้เห่เจ้าคะ มาระไชโย)
ศรีชัยแก้วพ่อเอ๋ย (ลูกคู่รับ ชัยแก้วพ่ออา...เฮ)”
กล่าวโดยสรุป ปัจจุบันทำนองการเห่เรือพระราชพิธีมีอยู่ ๓ ทำนองเท่านั้น หากนับรวมการเกริ่นเห่หรือเกริ่นโคลงด้วย ก็จะรวมเป็น ๔ ทำนอง นอกจากนั้น ในปัจจุบันการเห่เรือพระราชพิธีจะใช้เฉพาะตอนเสด็จพระราชดำเนินไปเท่านั้น ตอนเสด็จพระราชดำเนินกลับ เรือแล่นทวนน้ำจะใช้วิธีขานยาว โดยพนักงานขานยาวออกเสียงว่า เย้อว... ซึ่งแตกต่างจากสมัยโบราณ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ในนิทานโบราณคดีเรื่องที่ ๖ ว่า
“การเห่เรือพระที่นั่งนั้น สังเกตตาม ประเพณีในชั้นหลัง เห่แต่เวลาเสด็จโดยกระบวนพยุหยาตรา ซึ่งชวนให้เห็นว่า เห็นจะใช้เวลาไปทางไกล เช่น ยกขบวนทัพ เพื่อให้พลพายรื่นเริง ถ้ามิใช่พยุหยาตราเป็นแต่ขานยาว... ยังมีคำสำหรับเห่ เมื่อพายจ้ำ เช่น ว่าแข่งเรือ ต้นบทว่า “อีเยอวเยอว” ฝีพายรับว่า “เย่อว” คำคล้ายกับที่ใช้ขานยาวดูชอบกล”
๓. วิธีพายเรือให้สัมพันธ์กับการเห่เรือ
การพายเรือในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นพระราชพิธีแบบโบราณนั้น มีระเบียบการพายอยู่ ๔ วิธี คือ
๑. พายนกบิน เป็นท่าพายที่ยกพายขึ้น พ้นน้ำเป็นมุม ๔๕ องศา ประดุจนกบิน ท่าพายนี้จะใช้กับเรือพระที่นั่งเท่านั้น คือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
๒. พายพลราบ เป็นท่าการพายโดยไม่ให้พายพ้นกราบเรือ ท่าพายนี้จะใช้กับเรือร่วมในกระบวนทั้งหมด โดยแบ่งการพายเป็น ๔ จังหวะ
๓. พายผสม เป็นท่าการพายที่ผสมกัน ระหว่างท่าพายพลราบกับท่าพายนกบิน มักใช้ตอนเสด็จพระราชดำเนินกลับ ซึ่งเป็นการพายเรือทวนน้ำ โดยมีวิธีการพาย คือ พายพลราบ ๒ พาย ต่อด้วยพายนกบินอีก ๑ พาย จึงมักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พาย ๓ พาย
๔. พายธรรมดา เป็นท่าการพายในท่าธรรมดาของการพายเรือโดยทั่วๆ ไป
มีข้อสังเกตว่า การพายเรือพระราชพิธีในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เฉพาะเรือพระที่นั่งจะพายท่านกบินเป็นหลัก หากจะเปลี่ยนท่าพายเรือ ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินใดๆ ก็ตามต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อนเสมอ
นอกจากนั้น การจะพายเรือให้พร้อมเพรียงกันได้ทั้งกระบวน ต้องอาศัยผู้ให้สัญญาณต่างๆ ด้วย ได้แก่ สัญญาณเสียงกรับจากเรือพระที่นั่ง และเสียงเส้ากระทุ้งให้เข้าจังหวะการพายจากเรือดั้ง และเรือรูปสัตว์ การเห่เรือจึงมีวิธีการ และขั้นตอนมากมาย ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของผู้ที่มีหน้าที่ทุกคน จึงจะประสบความสำเร็จอย่างงดงามได้