โรคเอสแอลอี (SLE) หรือโรคลูปัส มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Systemic Lupus Erythematosus แต่คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อว่า โรคพุ่มพวง ปัจจุบัน รู้จักกันอีกชื่อว่า โรคแพ้ภูมิ โรคเอสแอลอีเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีการอักเสบเกิดขึ้นกับอวัยวะเกือบทุกส่วนของร่างกาย สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีลักษณะสำคัญที่พบในผู้ป่วยโรคนี้คือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดไปจากปกติ โดยมีการสร้างสารภูมิต้านทาน (antibody) ต่อต้านเซลล์เนื้อเยื่อของตนเอง (autoantibody) อันนำไปสู่ความเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
เช่น อ่านหนังสือในที่ร่ม
อัตราความชุกของโรคนี้ ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจังในประเทศไทย จึงต้องอ้างอิงข้อมูล จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบประชากรป่วยเป็นโรคนี้ ประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน โดยร้อยละ ๙๐ เป็นสตรี ในช่วงอายุ ๑๕-๔๕ ปี ซึ่งเมื่อคำนวณจากฐานความชุก และจำนวนประชากร สตรีผิวดำมีโอกาสเกิดโรคนี้ ประมาณ ๑ ต่อ ๒๐๐ คน ขณะที่สตรีผิวขาว มีความเสี่ยง ๑ ต่อ ๗๐๐ คน และด้วยเหตุที่อัตราการเกิดโรค และความรุนแรงของโรคในคนผิวขาว มีน้อย การศึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคนี้ ในประเทศที่เจริญแล้ว จึงมีไม่มาก เมื่อเทียบกับโรคอื่น สำหรับคนไทย ก็พบโรคนี้ได้บ่อยกว่า และมีความรุนแรงของโรคสูงกว่าคนผิวขาว เฉพาะที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มีผู้ป่วยโรคเอสแอลอี ซึ่งมีอาการรุนแรง จนต้องเข้ารับการรักษา ในหอผู้ป่วยอายุรศาสตร์ของโรงพยาบาล คิดเป็นอัตราสูงถึง ๑ คน ต่อคนไข้ ๒๐๐ คนต่อปี ดังนั้น จึงถือได้ว่า โรคเอสแอลอีเป็นโรคร้ายในอันดับต้นๆ ที่จะนำความพิการเสื่อมสมรรถภาพในการทำงาน และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มาสู่สตรีไทย ผลกระทบจากการเกิดโรคเอสแอลอี จึงมีความสำคัญ ต่อการพัฒนาประเทศอย่างมาก เนื่องจาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ เป็นสตรีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากร ที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคม และเศรษฐกิจของประเทศ ความรุนแรงของโรค ทำให้ประชากรกลุ่มนี้ ต้องตกอยู่ในสภาวะความพิการ การเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือการเสียชีวิต เด็กจำนวนมากต้องกำพร้าแม่ หรือขาดการดูแลเอาใจใส่จากแม่ ซึ่งกำลังดิ้นรนต่อสู้กับโรคร้าย ผู้ป่วยบางราย ยังต้องต่อสู้กับความเข้าใจผิด ของครอบครัว และสังคมที่ขาดความรู้ เกี่ยวกับโรคนี้ เมื่อเห็นมีผื่นขึ้นตามตัวก็รังเกียจ เข้าใจว่าติดต่อกันได้ หลายคนสรุปว่า เป็นโรคเดียวกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเอชไอวี (HIV) ซึ่งสำหรับคนไทย ชื่อของโรคฟังคล้ายเอสแอลอี ผู้ป่วยหลายรายที่ถูกขับออกจากบ้านสามี หรือถูกพรากลูกไป เพราะความเข้าใจผิดดังกล่าว ถึงแม้ว่าโรคนี้ จะมีผลกระทบต่อสภาพครอบครัวเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ ทั้งจากภาครัฐและประชาชนเท่าที่ควร แม้แต่แพทย์เอง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้การวินิจฉัยโรคผิดพลาด จึงให้การรักษา หรือให้คำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ทราบว่า ผลการรักษาโรคนี้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว อัตราการรอดชีวิตที่ ๕ ปี มีเพียงร้อยละ ๔๐ แต่ปัจจุบัน ถ้าได้รับการรักษาถูกวิธี อัตราการรอดชีวิตที่ ๕ ปี จะสูงถึงร้อยละ ๙๐ การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ก็ยังมีน้อย เนื่องจาก ขาดผู้ให้การสนับสนุน เมื่อรู้ว่าเป็นโรคนี้ผู้ป่วยมักตกใจกลัว เพราะความเชื่อที่ฝังใจว่า หากเป็นโรคพุ่มพวง แล้วรักษาไม่ได้ หรือมิฉะนั้น ก็ไม่รู้จัก และไม่ทราบว่า จะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ได้ที่ไหน ดังนั้น คนไทยจึงควรให้ความสนใจว่า โรคเอสแอลอีเป็นอีกโรคหนึ่ง ที่เป็นปัญหาของประเทศ อย่างไรก็ดีไม่ได้หมายความว่า ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีทุกคน ต้องมีอาการตามนี้ทุกอย่าง ผู้ป่วยโรคนี้ ส่วนใหญ่สามารถควบคุมโรค และดำเนินชีวิตได้ตามปกติ