เล่มที่ 12
แผนที่
เล่นเสียงเล่มที่ 12 แผนที่
สามารถแชร์ได้ผ่าน :

            แผนที่ คือ แบบจำลองที่เขียนย่อลักษณะภูมิประเทศบนพื้นผิวโลก แสดงถึงแม่น้ำ ภูเขา ทะเลสาบ เส้นทาง และรายละเอียดอื่น ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หรือจากมนุษย์สร้างขึ้น มีมาตราส่วนของแผนที่ต่างๆ ตามชนิดของแผนที่นั้น แผนที่มีอยู่หลายชนิด เช่น แผนที่เฉพาะวิชา แผนที่แอตลาส แผนที่ภูมิประเทศ แผนที่รูปถ่าย แผนที่ตัวเมือง แผนที่เส้นทาง และอื่นๆ อีก ตามความต้องการของผู้ใช้ มาตราส่วนของแผนที่ ขึ้นอยู่กับชนิดของแผนที่ เช่น แผนที่เพื่องานวิศวกรรม มีมาตราส่วนใหญ่มาก ตั้งแต่ ๑:๒๐๐ จนถึง ๑:๑,๐๐๐ แผนที่ภูมิประเทศมีมาตราส่วน ๑:๒๕,๐๐๐ ๑:๕๐,๐๐๐ หรือแผนที่ตัวเมือง ๑:๑๒,๕๐๐ เป็นต้น

แผนที่รูปถ่าย


            แผนที่ที่เราเคยเห็น ส่วนมากเป็นแผนที่ลายเส้น มีรูปร่างเป็นเส้น แสดงเป็นสัญลักษณ์ ที่ผู้อ่านแผนที่สามารถเข้าใจได้ แผนที่อีกชนิดหนึ่งคือ แผนที่รูปถ่าย ซึ่งรายละเอียด ที่ปรากฏบนแผนที่นั้น เป็นภาพภูมิประเทศ ที่ถ่ายจากกล้องถ่ายรูปทางอากาศ มีเส้นกริด ชื่อ และการเขียนเส้น เน้นลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญ เช่น ถนน ทางน้ำ บนรูปถ่ายนั้นๆ ทั้งยังมีข้อความตรงชายขอบระวาง อธิบายให้ผู้ใช้แผนที่ได้เข้าใจอีกด้วย แผนที่รูปถ่ายมีอยู่ ๒ ชนิดคือ แผนที่รูปถ่าย (Photo map) และแผนที่พิกโต (Picto map) การผลิตแผนที่รูปถ่าย ทำได้โดยการขยายรูปถ่ายทางอากาศ ที่ได้ดัดแก้ให้เป็นรูปถ่ายแนวดิ่งจริงตามมาตราส่วนที่ต้องการ แล้วใส่ค่ากริดที่ถูกต้อง ใส่ชื่อตำบล หมู่บ้าน ทางน้ำ และเน้นรายละเอียดที่สำคัญ โดยการลงหมึกบนแผ่นฟิล์ม ก่อนการอัดเป็นแผนที่รูปถ่าย รวมทั้ง ใส่รายละเอียดชายขอบระวางด้วย

แผนที่พิกโต มาตราส่วน ๑: ๑๒,๕๐๐ ชุด L ๙๐๔๐ ระวางกรุงเทพฯ

            ส่วนการผลิตแผนที่พิกโต มีวิธีการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนตามกรรมวิธีถ่ายรูป แล้วใส่ค่ากริด ชื่อ เหมือนกับที่ได้ดำเนินการกับแผนที่รูปถ่าย คำว่า PICTO MAP นี้ ได้มาจาก คำว่า Photographic Image Conversion by Tonal Marking Process

ประโยชน์ของแผนที่รูปถ่ายคือ การนำไปใช้เสริมกับแผนที่ลายเส้น ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ภูมิประเทศ หรือแผนที่ตัวเมือง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอ่านรายละเอียดของแผนที่ได้ถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น

ลูกโลก, โลก

            เมื่อหลายพันปีมาแล้ว มนุษย์เชื่อว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ มีลักษณะแบบเป็นแผ่น และมีทะเลล้อมรอบ ผู้คนในสมัยนั้น จึงเขียนแผนที่ลงบนแผ่นหนังที่ใช้เขียนหนังสือ บางครั้งก็ใช้แผ่นพาพิรุส (papyrus) หรือเขียนลงบนแท่งดินเหนียวเผาไฟ ปัจจุบันนี้ เรารู้แล้วว่า โลกกลม และหมุนรอบแกนตัวเอง ดังนั้นเราจึงสามารถอธิบายลักษณะของโลกทั้งหมดลงบนลูกโลกได้ เราแบ่งลูกโลกออกเป็นส่วนๆ เส้นที่ปรากฏบนลูกโลกนั้น เป็นเส้นที่มีความสำคัญทั้งสิ้น ทำให้ผู้ใช้แผนที่ไม่ว่าจะอยู่บนบก ในทะเล หรือบนท้องฟ้า สามารถใช้เป็นแนวทางนำร่องจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้


            จากรูปเราจะเห็นขั้วโลก ได้แก่ ขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ มีเส้นที่ลากจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้ แบ่งลูกโลกออกเป็นครึ่งวงกลม เราเรียกเส้นนี้ว่า ลองจิจูด มีเลขกำกับเส้นไว้ด้วย เส้นลองจิจูดนี้ มีอยู่เส้นหนึ่งที่ผ่านเมืองกรีนิช ซึ่งอยู่ใกล้กรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ เส้นลองจิจูดเส้นนี้มีเลขกำกับเส้นเป็น ๐° ดังนั้นเส้นลองจิจูด เส้นอื่นๆ จึงมีเลขกำกับไปทางตะวันออก และตะวันตกของเมืองกรีนิช เส้นลองจิจูดนี้ จะมาพบกันอีกบนด้านตรงข้ามของลูกโลกที่ ๑๘๐ ํ

            ตรงกึ่งกลางระหว่างขั้วโลกทั้ง ๒ มีเส้นลากรอบลูกโลกตามแนวนอน เรียกชื่อ เส้นนี้ว่า เส้นศูนย์สูตร มีเลขกำกับเส้นเป็น ๐ ํ และยังมีเส้นอื่นๆ ที่ลากรอบลูกโลกคล้ายคลึง กับเส้นนี้เรียกว่า เส้นละติจูด มีเลขกำกับเส้นไปทางเหนือ และใต้ของเส้นศูนย์สูตร

ปัญหาของการทำแผนที่

            นักสำรวจในสมัยเริ่มแรกได้ใช้ประโยชน์จากลูกโลกนี้อย่างเต็มที่ ในการเดินเรือ ลูกโลกเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่นี้ เป็นลูกโลกที่ทำขึ้นในปีที่โคลัมบัสเดินทางไปอเมริกาเป็นครั้งแรก แต่ในขณะนั้นยังไม่ได้มีการกล่าวถึงอเมริกาเลย นักทำแผนที่สมัยนั้น ได้เขียนโลก ให้มีรูปร่างเหมือนลูกบอลบนแผ่นหนัง โดยเขียนให้สีและลักษณะของโลก เหมือนกับสิ่งที่เขาคิด และรู้เห็นในขณะนั้นด้วย

            กัปตันเรือที่มีชื่อเสียง เช่น เซอร์ วอลเทอร์ ราเลจ์ (Sir Walter Raleigh) เฟอร์ดินันด์ แมเจลแลน (Ferdinand Magellan) และเซอร์ ฟรานซิส เดรค (Sir Francis Drake) แมเจลแลน และเดรค มักใช้ลูกโลกคู่หนึ่งในการเดินทางทางทะเล เขาจะใช้ลูกโลกนั้นเขียนเส้นทางการเดินเรือ ลูกโลกลูกหนึ่งแสดงตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า ส่วนอีกลูกหนึ่งแสดง ตำแหน่งของโลกเรา

            ถ้าเราลองพยายามผ่าลูกโลก โดยมีรอยแยกที่ขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ (เหมือน เราปอกส้ม) แล้ววางแผ่ราบลงบนโต๊ะ เราจะพบว่า เส้นลองจิจูด ซึ่งเป็นเส้นตัดเกิดจากการ ผ่าลากไปทางด้านบน และด้านล่างของแผนที่ มีเส้นละติจูดลากผ่านขวาง เมื่อพยายามวางแผนที่ให้ราบลงไปอีก เราจะพบว่า เราต้องยืดส่วนบน และส่วนล่างออก ทำให้รูปร่างและขนาด ของประเทศต่างๆ ในโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป เส้นละติจูด และลองจิจูดก็เปลี่ยนไปด้วย แผนที่แบนราบรวมทั้งหมด จึงบิดเบี้ยวไป ดังเห็นได้จากรูป ส่วนที่เป็นพื้นดิน และทะเลที่ถูกต้องจริง จึงต้องอยู่บนพื้นรอบลูกโลกนั่นเอง แสดงให้เห็นว่า การบิดเบี้ยว จะเพิ่มขึ้นในบริเวณเหนือสุด และใต้สุดของลูกโลก แผนที่ที่ถูกต้องจะอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรเท่านั้น

แผนที่ประเทศไทย

            แผนที่ที่ครอบคลุมประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ผลิตขึ้นโดยกรมแผนที่ทหาร ส่วนราชการแห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ นับจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๓๕) รวมเป็นเวลา ประมาณ ๘๓ ปีแล้ว ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ได้มีการจัดทำแผนที่ จากรูปถ่ายทางอากาศขึ้น โดยทดลองทำที่จังหวัดสุรินทร์ และได้หยุดดำเนินการ จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ จึงได้คิดทำแผนที่ จากรูปถ่ายทางอากาศอีก โดยพลโทพระยาศัลวิธานนิเทศ ได้ก่อตั้งองค์การทำแผนที่จากรูปถ่ายทางอากาศ ภายหลัง ได้รวมกับกรมแผนที่ทหารบก และได้กลายมาเป็น กรมแผนที่ทหาร ขึ้นตรงต่อกองบัญชาการทหารสูงสุด ในปัจจุบันนี้ การทำแผนที่ประเทศไทยทั้งประเทศ ได้ใช้วิธีการนี้ทำแผนที่ชุด L ๗๐๘ มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ จำนวน ๑,๑๒๗ ระวาง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา มีขนาดระวาง ๑๐' x ๑๕' ต่อมาได้มีการแก้ไขเปลี่ยนขนาด ระวางแผนที่จาก ๑๐' x ๑๕' เป็น ๑๕' x ๑๕' ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ ชุดแผนที่จึงได้เปลี่ยนไปด้วยเป็น L๗๐๑๗ การเปลี่ยนขนาดระวางแผนที่ใหญ่ขึ้นนี้ ทำให้จำนวนระวางลดลงเหลือ ๘๓๐ ระวาง ซึ่งรวมทั้งแผนที่ครอบคลุมเขตแดนไทย-ลาว-กัมพูชาด้วย แผนที่มาตราส่วนนี้ ไม่ได้จัดจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไป คงให้ใช้เฉพาะส่วนราชการต่างๆ ทั้งทางทหาร และพลเรือนเท่านั้น

มาตราส่วนต่างๆ

            นอกจากแผนที่มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ แล้ว กรมแผนที่ทหารยังได้ผลิตแผนที่ มาตราส่วนอื่นๆ อีก เช่น แผนที่ชุด L ๙๐๑๓ มาตราส่วน ๑:๑๒,๕๐๐ แผนที่ชุด L ๘๐๑๙ มาตราส่วน ๑:๒๕,๐๐๐ และแผนที่มาตราส่วนเล็ก ๑:๒๕๐,๐๐๐ รวมทั้ง แผนที่แสดงเส้นทางทั่วประเทศ มาตราส่วน ๑: ๒,๐๐๐,๐๐๐ ด้วย

            ในการจัดทำแผนที่เหล่านี้ ต้องมีการสำรวจทางพื้นดินทั่วประเทศ ทำการรังวัด และคำนวณ โดยใช้ระบบงานที่ทันสมัย สามารถผลิตแผนที่ได้อย่างถูกต้อง และมีมาตรฐานสากล มีการใช้สัญลักษณ์และสีเฉพาะ สัญลักษณ์แผนที่เป็นเครื่องหมายแผนที่ ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถรู้ลักษณะภูมิประเทศต่างๆ ได้ สัญลักษณ์ต้องปรากฏบนแผนที่ ที่พิมพ์สำเร็จแล้วทุกแผ่น

            เมื่อเราคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ต่างๆ แล้ว เราก็สามารถอ่านแผนที่ได้เหมือนกับ การอ่านหนังสือนั่นเอง

แผนที่ซึ่งใช้ระบบกริดในการกำหนดหรือหาตำแหน่งที่

ระบบกริด

            เมื่อเรามองหาตำแหน่งที่ใดๆ บนแผนที่ หรือบนลูกโลก เราต้องใช้เส้นลองจิจูด และละติจูดเป็นหลัก โดยอาศัยตำแหน่งที่เส้นสองเส้นนี้ตัดกัน แต่การใช้เส้นอ้างอิงเหล่านี้บนแผนที่มาตราส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร ด้วยเหตุนี้จึงได้คิดใช้ระบบกริดขึ้นแทน ระบบกริดนี้เป็นระบบของเส้นตรงลากตั้งฉากกันทางดิ่ง และทางราบ แบ่งแผนที่ออกเป็นจตุรัส

            แผนที่มาตราส่วนต่างๆ จะใช้ระบบกริดที่มีระยะห่างกันในหน่วยเมตริก เช่น แผนที่ มาตราส่วน ๑:๒๕๐,๐๐๐ เส้นกริดทางดิ่ง และทางราบจะมีระยะห่างกัน ๑๐ กิโลเมตร หรือแผนที่ ๑:๑๐,๐๐๐ อาจใช้ระยะห่าง ๕๐๐ เมตร เป็นต้น ระบบกริดที่ประเทศไทยใช้อยู่เป็นระบบยูทีเอ็ม หรือยูนิเวอร์แซล ทรานสเวอร์ส เมอร์เคเตอร์ (Universal Transvers Mercator) เป็นระบบจัตุรัสที่มีความยาวด้านละ ๑๐๐ กิโลเมตร การอ้างอิงตำแหน่งของแต่ละตาราง ใช้ตัวอักษร ๒ ตัว เป็นเครื่องกำกับ

            จากการที่เรารู้ค่าเส้นกริด เราอาจกำหนด หรือหาตำแหน่งที่ใดๆ บนแผนที่ได้ วิธีที่ใช้คือ การนับระยะไปทางตะวันออก และทางเหนือของตำแหน่งที่นั้น เช่น บ้านหนองคู อยู่ทางตะวันออกของเส้นกริด ๑๖ เป็นระยะ ๘/๑๐ และอยู่ทางเหนือของเส้นกริด ๒๔ เป็น ระยะ ๑/๑๐ ดังนั้นเราจะได้ตัวเลขอ้างอิงของจุดนั้นเป็น ๑๖๘/๒๔๑ ซึ่งนิยมเขียนเป็น ๑๖๘๒๔๑ ๓ ตัวแรกเราเรียกว่า กำหนดนับตะวันออก (easting) และ ๓ ตัวหลังเรียกว่า กำหนดนับเหนือ (northing)

การสามเหลี่ยม

            แม้ว่านักสำรวจมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการทำแผนที่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องอาศัยการวัด ด้วยวิธีเดียวกับที่นักแผนที่สมัยก่อนได้เคยทำมาแล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด เรียกกันว่า การสามเหลี่ยม

            ในขั้นแรกให้ทำเครื่องหมายเส้นฐานที่มีความยาวพอเหมาะ วัดความยาวของเส้นฐานนี้ให้ถูกต้องที่สุด เลือกจุดขึ้นจุดหนึ่ง เพื่อใช้เป็นยอดของรูปสามเหลี่ยม วัดมุมจากลายทั้งสองของเส้นฐาน เมื่อเรารู้ค่ามุม และเส้นฐาน เราก็สามารถคำนวณพื้นที่สามเหลี่ยมได้ เราต้องดำเนินกรรมวิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นโครงข่ายสามเหลี่ยมจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งผืน การวัดมุมใช้กล้องวัดมุม (theodolite) เครื่องมือนี้ประกอบด้วยกล้องส่องทางไกล ติดตั้งบนขาสามขา เพื่อให้อยู่ในระดับตา มีกล้องจุลทรรศน์ที่มีไมโครมิเตอร์ติดอยู่ด้วย

เครื่องมือสำหรับใช้วัดระยะอย่างละเอียด
ชนิดจีออดิมิเตอร์

            ขณะนี้ นักสำรวจมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ สำหรับใช้ในการวัดอย่างละเอียด ถูกต้องขึ้นอีก ๒ ชนิดคือ จีออดิมิเตอร์ (geodemeter) ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้วัดระยะโดยการบันทึก เวลาที่ลำแสงใช้เดินทาง จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ที่อยู่ไกลออกไปเป็นไมล์ แล้วสะท้อนกลับมาที่จุดเดิม เมื่อรู้ความเร็วของแสง ก็จะสามารถคำนวณระยะได้

            เครื่องมืออีกชนิดหนึ่งคือ เทลลูโรมิเตอร์ (tellurometer) ใช้วัดระยะเช่นเดียวกับ จีออดิมิเตอร์ แต่ใช้คลื่นวิทยุแทนแสง

การทำแผนที่จากรูปถ่ายทางอากาศ

            ในการทำแผนที่จากรูปถ่ายทางอากาศนั้น เราต้องใช้รูปถ่ายทางอากาศ ที่มีมาตราส่วนที่เหมาะสม กับมาตราส่วนแผนที่ที่ต้องการ ในการบินถ่ายรูป จึงต้องกำหนดความสูงของเพดานบินของเครื่องบิน เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง และใช้กล้องถ่ายรูปทาง อากาศที่สร้างขึ้นเฉพาะ มีทางยาวโฟกัส ตั้งแต่ ๖ นิ้ว ถึง ๒๔ นิ้ว มาตราส่วนของรูปถ่าย ทางอากาศเป็นอัตราส่วนของทางยาวโฟกัส และเพดานบินของเครื่องบิน รูปถ่ายทางอากาศที่ใช้ในการทำแผนที่ อาจใช้ได้ทั้งรูปถ่ายแนวดิ่ง และรูปถ่ายเฉียง

ภาพถ่ายแนวดิ่ง

ภาพถ่ายแนวเฉียง

            รูปถ่ายแนวดิ่ง คือ รูปถ่ายทางอากาศที่ถ่ายภาพโดยแกนของกล้องถ่ายรูป อยู่ในแนวดิ่ง หรือทำมุมกับแนวดิ่งไม่เกิน ๓ องศา ส่วนรูปถ่ายเฉียง คือ รูปถ่ายทางอากาศที่ถ่ายขึ้น เมื่อแกนของกล้องถ่ายรูปทำมุมกับแนวดิ่ง ๓ องศา ขึ้นไป หรือแกนของกล้องถ่ายรูป อยู่ระหว่างแนวราบกับแนวดิ่ง รูปถ่ายเฉียงมีอยู่ ๒ ชนิด คือ รูปถ่ายเฉียงสูง และรูปถ่ายเฉียงต่ำ ที่เรียกว่า รูปถ่ายเฉียงสูงนั้น บนภาพจะมีเส้นขอบฟ้าปรากฏให้เห็น

            ในการบินถ่ายรูป ต้องกำหนดแนวบินบนแผนที่เสียก่อน เพื่อให้นักบินได้บิน ตามแนวบินนั้น อาจเป็นแนวเหนือ-ใต้ หรือตะวันออก-ตะวันตกก็ได้ ขึ้นอยู่กับรูปร่างของพื้นดิน ว่ามีลักษณะอย่างไร ถ้ารูปร่างของพื้นดินมีด้านยาวไปทางเหนือ-ใต้ มากกว่าด้านกว้างไปทางตะวันออก-ตะวันตก ก็ควรบินแนวเหนือ-ใต้ ดังนี้เป็นต้น

การผลิตแผนที่ลายเส้น

            รูปถ่ายทางอากาศต้องมีการเหลื่อมล้ำหน้า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ และเหลื่อมล้ำข้าง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรูปถ่ายทางอากาศ เป็นผลจากการฉายแบบทิวทัศน์ แต่แผนที่เป็นผลจากการฉายแบบตั้งฉาก ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนการฉายแบบทิวทัศน์ ให้เป็นการฉายแบบตั้งฉาก โดยการใช้เครื่องมือเขียนแผนที่ เครื่องมือเขียนแผนที่นี้มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม เราสามารถนำมาใช้ เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดจากรูปถ่ายลงบนต้นร่างแผนที่ ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นดินได้ทั้งสิ้น ดังนั้นเครื่องมือเขียนแผนที่จากรูปถ่ายทางอากาศ จึงเป็นเครื่องมือที่นำเอาภาพภูมิประเทศ ที่ปรากฏบนรูปถ่าย ให้กลับมาเป็นลักษณะภูมิประเทศใหม่ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการใช้สัญลักษณ์แทนลักษณะภูมิประเทศนั่นเอง

            ในการเขียนแผนที่ด้วยเครื่องมือ จำเป็นต้องอาศัยจุดบังคับรูปถ่ายช่วย จุดบังคับรูปถ่ายนี้ เป็นจุดที่ได้เลือกขึ้นอย่างดี และกำหนดลงบนรูปถ่าย แล้วนำรูปถ่ายเหล่านี้ออกไป สำรวจหาค่าพิกัดทางราบ และทางดิ่งในสนาม ตลอดจนสำรวจการจำแนกรายละเอียดต่างๆ เราใช้จุดบังคับรูปถ่ายในการจัดรูปถ่าย ให้มีลักษณะเหมือนกับลักษณะของรูปถ่ายขณะเครื่องบินกำลังทำการบิน และมีระดับความสูงของภูมิประเทศตรงกับความเป็นจริง

            เมื่อถ่ายทอดรายละเอียดทั้งหมดลงบนต้นร่างแผนที่ โดยอาศัยรูปถ่ายที่ได้มีการจำแนกรายละเอียดในสนาม ประกอบการเขียนทั้งหมดแล้ว ต่อไปก็ต้องนำต้นร่างแผนที่ไปประกอบเป็นระวางแผนที่ ตามมาตราส่วนที่ต้องการ แล้วทำการเขียนแยกสีรายละเอียดออกเป็นสีต่างๆ เช่น ใช้สีน้ำเงินแทนแม่น้ำลำคลอง บึง สีน้ำตาลแทนเส้นชั้นความสูง สีดำแทนชื่ออาคาร ถนน ทางเกวียน สีแดงแทนถนนสายประธาน ชื่อ และสีเขียวแทนพืชพรรณไม้ เมื่อเขียนแยกสีครบ ๕ สีแล้ว ก็นำต้นร่างเหล่านั้น มาประกอบกันกับต้นร่างพิกัดกริด นำไปพิมพ์เป็นแผนที่ต่อไป

            แผนที่ที่พิมพ์สำเร็จสมบูรณ์แล้ว จะปรากฏเป็นแผนที่ลายเส้นที่มีสีและสัญลักษณ์ ที่มีมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ใช้แผนที่ ได้ใช้แผนที่ได้ตามความมุ่งหมายต่อไป

            นอกจากจะผลิตแผนที่ลายเส้นแล้ว เครื่องมือเขียนแผนที่ยังให้ข้อมูล ที่จะนำไปผลิตแผนที่รูปถ่ายออร์โทได้อีกด้วย แผนที่รูปถ่ายออร์โทเป็นรูปถ่ายที่ได้ทำการดัดแก้ จากการฉายแบบทิวทัศน์ ให้เป็นการฉายแบบตั้งฉากแล้ว มีการเพิ่มเส้นของชั้นความสูง ใส่ค่ากริด ชื่อ และประกอบเป็นระวางแผนที่ แผนที่รูปถ่ายนี้ใช้ได้สะดวกมาก เพราะผู้ใช้จะเห็นภาพภูมิประเทศโดยตรง ไม่ต้องมีสัญลักษณ์แทนลักษณะภูมิประเทศ