ทุกคนคงจะเคยสังเกตเห็นว่า อาหารที่เรารับประทาน เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ฯลฯ มีลักษณะชุ่มชื้น เพราะมีน้ำประกอบอยู่ด้วย
เมื่อเราเด็ดยอดอ่อนของต้นไม้ หรือตัดตรงบริเวณโคนต้นให้ขาดออก จะมีน้ำซึมออกมาตรงบริเวณที่ถูกตัด
ในเวลามีบาดแผลเกิดขึ้น เช่น ถูกมีดบาด หรือถูกตะปูตำจะมีเลือดไหลออกมา เลือดเป็นของเหลวซึ่งมีน้ำประกอบอยู่ด้วย
สัตว์บางชนิด เช่น ไส้เดือนดิน ร่างกายขับของเหลวใสเป็นเมือกออกมาหล่อเลี้ยงผิวหนัง ทำให้เปียกชื้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังเป็นอันตรายในขณะที่เคลื่อนที่ไปในดิน
ตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ร่างกายสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ต่างก็มีน้ำประกอบอยู่ด้วย ถ้าปราศจากน้ำแล้ว สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ เช่น เมื่อพืชขาดน้ำใบจะเหี่ยว ทำการสังเคราะห์แสงไม่ได้ สัตว์ขาดน้ำจำทำให้อ่อนเพลีย และอาจถึงตายได้
สภาพแวดล้อมบนพื้นโลกของเราก็มีส่วนอยู่มากที่ช่วยให้ชีวิตบนโลกดำเนินไปได้โดยปกติ ทั้งนี้เพราะว่า บรรยากาศรอบๆ ผิวโลกที่สิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่มีส่วนที่เป็นน้ำอยู่ด้วยถึง ๓ ใน ๔ ของพื้นที่ทั้งหมด
ทุกคนคงได้เคยพบเห็นคนและสัตว์หลายชนิด ยังต้องการน้ำสำหรับดื่ม พืชก็ยังต้องการน้ำสำหรับไปหล่อเลี้ยงลำต้น เพื่อให้เกิดขบวนการต่างๆ การที่โลกมีส่วนที่เป็นน้ำอยู่อย่าเพียงพอนี้เอง มีส่วนช่วยให้สิ่งที่มีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นโลกสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุข
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงความว่า ถ้าน้ำมีอยู่ในร่างกายมากเกินไป จะเป็นผลดีแก่สิ่งที่มีชีวิต ดังเราจะเห็นว่า พืชระเหยน้ำที่มากเกินความต้องการออกทางใบ
คนและสัตว์จะมีขบวนการที่สลับซับซ้อนภายในร่างกาย เพื่อขจัดน้ำส่วนที่เกิดความต้องการออกมากับปัสสาวะ และต่อมเหงื่อ
เราอาจสังเกตได้โดยง่ายว่าขณะที่ร่างกายขาดน้ำ เช่น เดินทางไปไกลๆ หาน้ำดื่มไม่ได้ ร่างกายจะช่วยประหยัดน้ำ โดยปัสสาวะออกมาในปริมาณที่น้อยกว่าในยามที่เราดื่มน้ำมากๆ หรือในยามที่เราออกกำลังกายเหนื่อย เสียน้ำไปกับเหงื่อมาก จะมีความรู้สึกกระหายน้ำ ทั้งนี้เพื่อไปชดเชยกับน้ำที่สูญเสียออกไปจากร่างกาย