การจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในรัชกาลที่ ๗
การจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีวิธีการจัดกระบวนเป็น ๒ กระบวน เรียกว่า "กระบวนพยุหยาตรา (ใหญ่) ชลมารค" และ "กระบวนหยุหยาตรา (น้อย) ชลมารค" อีกกระบวนหนึ่ง จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ครั้งทรงทำ หน้าที่แทนเสนาบดีกระทรวงทหารเรืออยู่ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดรูปกระบวนเข้าหาจำนวนเรือที่มีอยู่เป็น สำคัญ ยึดหลักโบราณราชประเพณีแต่เพียงอนุโลม ซึ่งริ้วกระบวนเรือ ที่จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทูลเกล้าฯ ถวาย มีดังนี้
- กระบวนพยุหยาตราใหญ่ จัดเป็น ๔ สาย มีเรือนำกระบวนเป็นเรือพิฆาต เรือดั้ง เรือรูป สัตว์ เรือเอกไชย ๒๑ คู่ เรือพระที่นั่ง ๓ องค์ และเรือตามกระบวน ๔ คู่ รวม ๔๙ ลำ
- กระบวนพยุหยาตราน้อย จัดเป็น ๒ สาย มีเรือนำกระบวน ๑๖ คู่ เรือพระที่นั่ง ๒ องค์ และเรือตามกระบวน ๔ คู่ รวม ๔๓ ลำ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถือเป็นระเบียบปฏิบัติได้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นต้นมา ซึ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับกระบวนพยุหยาตราใหญ่ เลียบพระนคร คราวพระบรมราชาภิเษกสมโภชรัชกาลที่ ๖ และ คราวพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๗ แล้วก็ไม่ แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับริ้ว กระบวนพยุหยาตราชลมารค ครั้งรัชกาลที่ ๔ ที่ กล่าวไปแล้ว จะเห็นได้ว่าเรือบางประเภท เช่น เรือแซ เคยใช้เป็นกระบวนหน้า นำหน้าเรือพิฆาต นั้นหายไป เรือพิฆาต ที่เคยมีมาแต่เดิม ก็นำมาเข้ากระบวนถึง ๖ คู่ คือ
เรือมังกรจำแลง คู่กับ เรือมังกรแผลงฤทธิ์
เรือเหราล่องลอยสินธุ์ คู่กับ เรือเหราลินลาสมุทร
เรือสางกำแหงหาญ คู่กับ เรือสางชาญชลสินธุ์
เรือโตขมังคลื่น คู่กับ เรือโตฝืนสมุทร
เรือกิเลนประลองเชิง คู่กับ เรือกิเลนระเริงชล
เรือเสือทะยานชล คู่กับ เรือเสือคำรณสินธุ์
เรือเสือทะยานชล
ฝีพายเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ กำลังพายท่านกบิน
เรือดังกล่าวทั้งหมดนี้ เป็นเรือที่สร้างขึ้นไว้ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ทั้งสิ้น แต่ในกระบวนพยุหยาตราสมัยต่อมา มีเรือพิฆาตเพียงคู่เดียว คือ เรือเสือทะยานชลกับเรือเสือคำรณสินธุ์
ข้อที่ผิดกันอีกประการหนึ่ง คือ การลำดับ เรือรูปสัตว์ครั้งรัชกาลที่ ๔ นั้น เอาเรือกระบี่นำ เป็นคู่หน้า เรืออสูรเป็นคู่ที่ ๒ เรือพญาวานรเป็น คู่ที่ ๓ เรือครุฑเป็นคู่ที่ ๔ แต่ในการจัดกระบวน เรือพระราชพิธี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ นั้น ได้นำเรือ กระบี่มาเป็นคู่ที่ ๓ เลื่อนเรืออสูรเป็นคู่ที่ ๑ และ เรือพญาวานรเป็นคู่ที่ ๒ แต่ต่อมาเมื่อคราวจัด กระบวนพยุหยาตราใหญ่ในงานฉลองพระนคร ครบรอบ ๑๕๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ได้จัด ลำดับเรือรูปสัตว์เช่นเดียวกับที่จัดในครั้งรัชกาลที่ ๔
กระบวนเรือครั้งนี้ไม่มีเรือทรงผ้าไตร หรือ ผ้าทรงสะพักพระพุทธรูป เพราะมิได้เสด็จขึ้นทรงนมัสการ หรือบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระอารามหลวง ดังเช่นเสด็จถวายผ้าพระกฐิน หรือเสด็จเลียบพระนคร และไม่มีเรือพลับพลา เพราะมิได้ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ไม่ต้องทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ หรือพระชฏามหากฐิน
สำหรับกระบวนพยุหยาตราน้อยชลมารค ที่พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถือเป็นแบบ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นต้นมานั้น มีข้อแตกต่างจากกระบวน ที่เคยจัดกันมาแต่ก่อนดังนี้คือ
๑. เดิมไม่เคยใช้เรือรูปสัตว์ คราวนี้ได้นำเอาเรือรูปสัตว์มาเข้ากระบวนด้วย โดยจัดให้ เป็นคู่ที่ ๘ ถึง ๑๑ รวม ๔ คู่ โดยตัดเรือดั้งเดิม ๔ คู่ออกไป
๒. เรือพระที่นั่งเป็นเรือทอดบัลลังก์กัญญา แต่เดิมเรือที่ทอดบัลลังก์กัญญาไม่ใช้เครื่องสูงแต่ ในกระบวนที่จัดใหม่เปลี่ยนให้มีเครื่องสูงด้วย
เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ สถานการณ์บ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้เสด็จประทับอยู่ในพระราชอาณาจักร การถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตรา จึงมีอันต้องระงับไปเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี และในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณี การเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคขึ้นใหม่อีกเป็นครั้งแรก ในรัชกาลปัจจุบัน