ประเภทของเรือต่อ
เรือต่อเป็นเรือที่มีการนำไม้มาพัฒนาเป็นเรือประเภทต่างๆ สำหรับใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น โดยมีการพัฒนาให้มีการขับเคลื่อน ให้แล่นได้เร็ว และบรรทุกได้มากขึ้น ตลอดจนใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งในด้านการคมนาคมขนส่ง และการใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะแสนยานุภาพของผู้เป็นเจ้าของเรือ
เรือต่อแบ่งตามประเภทของการใช้งาน มี ๓ ประเภท คือ
๑. เรือต่อขนาดเล็กใช้พาย
๒. เรือต่อขนาดใหญ่ใช้บรรทุก
๓. เรือต่อที่ใช้เครื่องยนต์
๑. เรือต่อขนาดเล็กใช้พาย
เรือต่อประเภทแรกๆ ที่เรารู้จักและใช้งานกันแพร่หลาย ได้แก่ เรือสำปั้นหรือซำปัง ต่อมาจึงมีวิวัฒนาการเป็นเรือประเภทต่างๆ อีกมากมาย
๑. เรือสำปั้น หรือ ซำปัง
เป็นเรือต่อขนาดเล็กสำหรับคนทั่วไปใช้ในการเดินทางไปมาหาสู่กัน ดูเหมือนจะเริ่มมีขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสวนขวาขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง ใน พ.ศ. ๒๓๖๒ สำหรับเป็นที่ทรงสำราญพระอิริยาบถส่วนพระองค์และบรรดาข้าราชบริพารฝ่ายใน ซึ่งในสวนขวาประกอบด้วยสระน้ำ ภูเขา สวนจำลอง เหมาะสำหรับการนั่งเรือพายเล่นในสระ
คำว่า "สำปั้น" มาจากภาษาจีนว่า "ซำปัง" (Sampan) หมายถึง เรือเล็กที่วางอยู่บนเรือสำเภาใช้ช่วยชีวิตยามฉุกเฉิน หรือใช้พาย เข้ามาติดต่อกับชายฝั่งได้ ต่อขึ้นด้วยไม้กระดาน ๓ แผ่นคือ แผ่นท้องเรือ และแผ่นข้างเรือ ๒ ข้าง ต่อมาพระยา
สุริยวงศ์มนตรี (ดิศ บุนนาค) ได้ให้ช่างต่อเรือชาวไทยปรับปรุงรูปแบบเรือซำปังของจีนให้เป็นเรือสำปั้นแบบไทย โดยใช้ไม้กระดาน ๕ แผ่น มีความอ่อนช้อยสวยงาม เรือซำปังในยุคแรกที่สั่งมาจากเมืองจีนทำด้วยไม้ฉำฉา ต่อมา จึงเปลี่ยนมาใช้ไม้สัก มีความยาวประมาณ ๔-๖ เมตร
ต่อมาไทยได้ดัดแปลงรูปแบบของเรือสำปั้นเป็นชนิดต่างๆ และเรียกชื่อต่างๆ กัน คือ
ก. เรือสำปั้นพาย
เป็นเรือต่อด้วยไม้กระดาน ๕ แผ่น ที่มีการดัดแปลงมาจากเรือซำปังของจีน เป็นต้นแบบของเรือสำปั้นประเภทต่างๆ เรือมีขนาดเล็ก ความยาว ๒-๕ เมตร ใช้พายในการขับเคลื่อน ต่อมาเรียกว่า เรือสำปั้นพาย
เรือสำปั้นพาย
ข. เรือสำปั้นเพรียว
เป็นเรือต่อด้วยไม้กระดาน ๕ แผ่น ตัวเรือจะแคบแต่ยาว หัวและท้ายเรือเรียว ค่อนข้างโคลง ตอนหัวมี ๓ กระทง ลดระดับพื้นลงต่ำ คนพายต้องนั่งชันเข่าหรือห้อยเท้า ตอนกลางลดพื้นลงต่ำยาว ตอนท้ายมี ๒ กระทงปูพื้นสูง เรือสำปั้นเพรียวนี้ทางวัดต่อขึ้น สำหรับให้ภิกษุสามเณรใช้ออกไปบิณฑบาต บางลำจึงเจาะช่องสำหรับวางบาตรไว้เพื่อไม่ให้ล้มขณะเรือโคลง ในฤดูกาลทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เด็กวัดจะใช้เรือสำปั้นเพรียวนี้มาแข่งกันอย่างสนุกสนาน
เรือสำปั้นเพรียว
ไม้ที่ใช้ต่อเรือสำปั้นเพรียวใช้ไม้สัก เพราะมีความทนทานและการยืดการหดตัวน้อยกว่าไม้ชนิดอื่น ส่วนประกอบของตัวเรือ มีกระดูกงูแบนยาวติดกับทวนหัวทวนท้าย มีเปี๊ยะเป็นโครงสร้างแทนกงเรือ การยึดเปลือกเรือแทนกงเรือใช้มือลิง ส่วนหัวและท้ายเรือมีแผ่นปิดหัว-ท้ายวาดเป็นวงงอนโค้งสวยงาม ตอนขอบหัว ท้าย และกลางของเรือ ใช้แผ่นปิดหัว-ท้ายเป็นเหล็กแบนเลี่ยม (การหุ้มขอบหัวเรือและท้ายเรือด้วยแผ่นโลหะ มีลักษณะแบน กว้างประมาณ ๑ นิ้ว เพื่อกันไม้แตก หรือกันกระแทก คล้ายกับการเลี่ยมพระ) เพื่อรักษาส่วนหัวเรือไม่ให้แตก นับว่าเป็นเรือพายที่มีความสวยงาม ชนิดหนึ่ง
เรือสำปั้นสวน
ค. เรือสำปั้นสวน
เรือสำปั้นสวนเป็นเรือในตระกูลเรือสำปั้นทั่วไปแต่มีขนาดใหญ่กว่า ใช้แจวหัวและท้าย กลางลำมีประทุน ซึ่งใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นซี่บางๆ สานขัดไว้ ชั้นในอาจปูด้วยจาก ที่ใช้มุงหลังคา ภายนอกบางลำยาพอนด้วยชัน เพื่อป้องกันแสงแดดหรือฝนรั่วได้ดี และเพื่อสวยงาม ส่วนหัวและท้ายเรือบางลำมีหลังคาที่สานด้วยไม้ไผ่ที่ยื่นออกมา หรือเลื่อนเข้าไปเก็บบนหลังคาประทุนกลางลำได้
เรือสำปั้นสวนใช้บรรทุกพืชผักผลไม้ เช่น หมาก มะพร้าว กล้วย ทุเรียน ฝรั่ง จากสวนที่อยู่นอกเมืองเข้ามาขายที่ตลาดน้ำ หรือท่าเรือ บางลำมีขนาดใหญ่ หากต้องการนำผลไม้ไปขายในที่ไกลๆ ก็จะปูพื้นกระดานตลอดลำเป็นที่พักอาศัยด้วย เรือสำปั้นสวน มีความยาวประมาณ ๘-๑๒ เมตร
ง. เรือสำปั้นจ้าง
เรือสำปั้นจ้างเป็นเรือต่อด้วยไม้กระดาน ๕ แผ่น ประกอบด้วย เปี๊ยะและกระทง พื้นหัวเรือและท้ายเรือเสมอมอบข้างเรือ พื้นกลางลำลดต่ำลง มีกระทงที่นั่งกลางลำ ทำให้นั่งสบายไม่โคลง มีหลักแจวสำหรับใช้แจวที่ช่วงท้ายเรือ โดยที่ท้ายเรือมีหางเสือ มีก้านพังงายื่นขึ้นมาสำหรับคนแจวใช้เท้าเขี่ยบังคับเรือไปตามทิศทางที่ต้องการในขณะที่แจวเรือไปด้วย บางลำมีคนช่วยพาย ที่หัวเรือในกรณีที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาก ใช้รับ-ส่งผู้โดยสารประมาณ ๔-๖ คน ความยาวประมาณ ๖-๘ เมตร ในระยะแรก เรือสำปั้นจ้างมีสัดส่วนที่ยาวกว่าในปัจจุบัน และไม่มีหลังคา ต่อมาจึงมีผู้ทำเก๋ง โดยใช้เสาเก๋งทำด้วยไม้ ๖ ต้น มีโครงหลังคาไม้ฝักมะขาม รับแผ่นหลังคา ซึ่งทำด้วยสังกะสีแผ่นเรียบ
เรือสำปั้นจ้าง
จ. เรือสำปั้นแปลง
สมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อคราวทำสวนขวาในพระบรมมหาราชวัง มีการสั่งเรือซำปังที่ต่อด้วยไม้กระดาน ๓ แผ่นมาจากประเทศจีน รูปทรงเรือเทอะทะ จึงคิดต่อเป็นสำปั้นแปลง โดยแก้รูปทรงให้เพรียวกว่าเรือจีน สำหรับข้าราชบริพารพายเล่นในสระ ต่อมา พระยาสุริยวงศ์มนตรี (ดิศ บุนนาค) จึงคิดต่อเรือสำปั้นยาว ๗-๘ วา และเมื่อช่างมีความชำนาญมากขึ้น จึงต่อเป็นสำปั้นขนาดใหญ่ มีเก๋งสลักลวดลาย เรียกว่า เรือเก๋งพั้ง ยาว ๑๔-๑๕ วา ใช้เป็นเรือพระที่นั่งของเจ้านาย หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่