ก. ภูมิหลังประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหนังสือสัญญา และอนุสัญญาของแนวเขตแดนไทย - กัมพูชา
แนวเขตแดนไทย - กัมพูชามีความเกี่ยวพันกับแนวเขตแดนไทย - ลาว กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๐ (ค.ศ. ๑๘๖๗) สยาม (ไทย) กับฝรั่งเศส ได้ลงนามในหนังสือสัญญาเขตแดนเมืองพระตะบอง และได้ให้สัตยาบันกันเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๐ (ค.ศ. ๑๘๖๗) โดยหนังสือสัญญาฉบับนี้ได้ระบุไว้ว่า ราชอาณาจักรเขมร (กัมพูชา) อยู่ในอารักขาของฝรั่งเศส และกำหนดให้เมืองพระตะบอง และเสียมราฐ เป็นดินแดนของไทย
ต่อมาในรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) ๑๐๗ (พ.ศ. ๒๔๓๑ หรือ ค.ศ. ๑๘๘๘) สยามได้เสียดินแดนสิบสองจุไท และหัวพันห้าทั้งหก ให้แก่ฝรั่งเศส ในรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖ หรือ ค.ศ. ๑๘๙๓) ได้มีเหตุการณ์ขัดแย้ง ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส และได้มีการทำหนังสือสัญญากับฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ ยกพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ได้แก่ ลาวเกือบทั้งประเทศ และกัมพูชาตอนเหนือบางส่วน ให้แก่ฝรั่งเศส เนื่องจาก พื้นที่ของกัมพูชา ส่วนใหญ่อยู่ในอารักขาของฝรั่งเศสมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๐ แล้ว ส่วนฝรั่งเศสได้ส่งทหารหนึ่งกองพันไปยึดจันทบุรีไว้ เพื่อเป็นประกันว่า สยามจะไม่บิดพลิ้วข้อเรียกร้อง
ถึงแม้ว่าสยามจะได้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี ยังคงยึดจันทบุรีอยู่นานถึง ๑๐ ปีเศษ ดังนั้น เพื่อแลกกับจันทบุรี สยามจึงได้ทำหนังสือสัญญา ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๒ (พ.ศ. ๒๔๔๖ หรือ ค.ศ. ๑๙๐๔) ยกพื้นที่ฝั่งขวาบางส่วน ของแม่น้ำโขง รวมทั้งอำเภอด่านซ้าย เมืองเลย ให้แก่ฝรั่งเศส หนังสือสัญญาฉบับนี้ กำหนดเส้นแบ่งเขตแดน ตั้งแต่ทะเลสาบเขมร จากปากคลองสดุงโรลูออสขึ้นไป จนถึงทิวเขาพนมดงรัก หลังจากนั้นได้มีการเจรจาต่อรองกันอีก โดยการทำพิธีสารต่อท้าย เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. ๑๙๐๔) กำหนดให้ฝรั่งเศสได้ดินแดนตราด ซึ่งห่างจากจันทบุรีประมาณ ๖๐ กิโลเมตร เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ฝรั่งเศสจะต้องถอนทหาร และอพยพออกจากจันทบุรี
เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ได้มีการทำหนังสือสัญญากันอีก ๑ ฉบับ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙ หรือ ค.ศ. ๑๙๐๗) มีใจความสำคัญ คือ สยามยอมยกดินแดนเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนกับอำเภอด่านซ้าย และตราด รวมทั้งเกาะทั้งหลาย ที่ตั้งอยู่ใต้แหลมสิงห์ลงไป จนถึงเกาะกูด
หลังเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ไทยได้ทำหนังสือสัญญากับฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสยอมคืนเมืองพระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมราฐ ให้แก่ไทย
ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงแล้ว ได้มีการลงนามในข้อตกลง ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยให้ยกเลิกสัญญา พ.ศ. ๒๔๘๔ และให้เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา กลับคืนสู่สถานะเดิม ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔
ข. ความยาวและลักษณะโดยสรุปของเส้นแบ่งเขตแดนไทย - กัมพูชา
ความยาวของเส้นแบ่งเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีรวมทั้งสิ้น ๗๙๘ กิโลเมตร ประกอบด้วย
๑) เส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรัก ยาว ๓๖๔ กิโลเมตร ในจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์
๒) เส้นเขตแดนตามลำน้ำสายต่างๆ ยาว ๒๑๖ กิโลเมตร ในจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดจันทบุรี
๓) เส้นเขตแดนตามแนวเส้นตรง ยาว ๕๗ กิโลเมตร ในจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดจันทบุรี
๔) เส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของทิวเขาบรรทัด ยาว ๑๖๐ กิโลเมตร ในจังหวัดตราด
๒. เส้นแบ่งเขตแดนทางบก ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ก. ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหนังสือสัญญา และอนุสัญญาของแนวเขตแดนไทย - ลาว
เส้นแบ่งเขตแดนไทย - ลาว เกิดขึ้น จากการทำสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตแดน ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส แบ่งออกได้เป็น ๒ ตอน คือ
(๑) เส้นแบ่งเขตแดนไทย - ลาว บริเวณที่เป็นทิวเขาและลำน้ำสายเล็กๆ
เริ่มขึ้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ. ๑๘๙๓) โดยฝรั่งเศสกดดันให้สยาม (ไทย) ต้องยอมทำหนังสือสัญญาลงวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ยกดินแดนฝั่งซ้ายฟากตะวันออกของแม่น้ำโขง รวมทั้งเกาะทุกเกาะในแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส สัญญานี้ได้ให้สัตยาบันกัน เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๖ แต่ฝรั่งเศสกลับส่งทหารหนึ่งกองพันไปยึดจันทบุรีไว้ โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อป้องกันการบิดพลิ้วของไทย และถึงแม้ไทยจะไม่ได้บิดพลิ้วสัญญาเขตแดนดังกล่าวข้างต้น แต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี เป็นสาเหตุที่สร้างความกดดันให้ไทย จำต้องยกดินแดนฝั่งขวาบางส่วนของแม่น้ำโขง และอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ให้แก่ฝรั่งเศสอีก ดังปรากฏในหนังสือสัญญา ฉบับลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๖ (ค.ศ. ๑๙๐๔)
ต่อมา ฝรั่งเศสได้คืนจันทบุรีให้ไทย แต่กลับไปยึดจังหวัดตราดแทน ในระหว่างนั้น ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม - ฝรั่งเศสขึ้น ทำการปักปันเขตแดนกัน โดยแบ่งเจ้าหน้าที่สำรวจปักปันเขตแดนออกเป็น ๒ ส่วน คือ
ส่วนที่ ๑ ทำการสำรวจปักปันเขตแดนไทย - ลาว ตอนบน ตั้งแต่แก่งผาได อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ไปตามสันปันน้ำของทิวเขาหลวงพระบาง ต่อด้วยลำน้ำเหือง จนออกสู่แม่น้ำโขงที่ปากน้ำเหือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
ส่วนที่ ๒ ทำการสำรวจปักปันเขตแดนไทย - ลาว ตั้งแต่แม่น้ำโขง ตรงปากห้วยดอน อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ไปตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรัก จนกระทั่งถึงเขตต่อ ระหว่างจังหวัดศรีสะเกษกับจังหวัดสุรินทร์ เส้นแบ่งเขตแดนได้กันเอาพื้นที่ของเมืองเสียมราฐ และพระตะบองไว้ในเขตไทย และเส้นแบ่งเขตแดนได้ไปตามเส้นแบ่งเขตจังหวัดจันทบุรี กับจังหวัดตราด ออกสู่ทะเลที่ปากน้ำเวฬุ
ในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ (ค.ศ. ๑๙๐๗) สยาม (ไทย) กับฝรั่งเศส ได้ทำหนังสือสัญญากันใหม่ โดยแลกเปลี่ยนจังหวัดตราด และอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย รวมทั้งอำนาจศาล กับเมืองเสียมราฐ ศรีโสภณ และพระตะบอง
(๒) เส้นแบ่งเขตแดนไทย - ลาว ตามลำแม่น้ำโขง
เส้นแบ่งเขตแดนไทย - ลาว ตามลำแม่น้ำโขงเป็นผลสืบเนื่องจาก หนังสือสัญญาที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ. ๑๘๙๓) ซึ่งกำหนดให้สยาม (ไทย) สละข้ออ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้าย รวมทั้งเกาะทุกเกาะในแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ต่อมาได้มีการทำอนุสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. ๑๙๒๖) ซึ่งว่าด้วยแม่น้ำโขงโดยเฉพาะ อนุสัญญาฉบับนี้กำหนดเส้นแบ่งเขตแดน ระหว่างไทย - ลาว ในแม่น้ำโขง โดยระบุว่า ในตอนที่แม่น้ำโขงไม่แยกออกเป็นหลายสาย เพราะมีเกาะตั้งอยู่ ให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ส่วนในตอนที่แยกออกเป็นหลายสาย ให้ใช้ร่องน้ำลึกของสายแยกที่ใกล้ฝั่งไทยที่สุด เป็นเส้นแบ่งเขตแดน แม้ภายหลังร่องน้ำลึกดังกล่าวจะตื้นเขินจนเชื่อมเกาะติดกับฝั่ง ก็ยังคงให้ถือร่องน้ำเดิมที่ตื้นเขินนั้น เป็นเส้นแบ่งเขตแดนตลอดไป หากจะย้ายเส้นแบ่งเขตแดน ก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะข้าหลวงใหญ่ประจำแม่น้ำโขง เป็นผู้พิจารณา โดยย้ายไปได้เพียงร่องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด ถัดจากร่องน้ำเดิมที่ตื้นเขินเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้ระบุชื่อเกาะ ๘ เกาะให้เป็นดินแดนของไทยด้วย เช่น ดอนเขียว ดอนเขียวน้อย ดอนน้อย ดอนบ้านแพง
ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ไทยได้ทำหนังสือสัญญากับฝรั่งเศส ภายหลังการเกิดกรณีพิพาท ระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสได้คืนดินแดนลาวบนฝั่งซ้าย ของแม่น้ำโขงทั้งหมดให้แก่ไทย แต่สัญญาฉบับนี้ถูกยกเลิกไป ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ส่งผลให้เส้นแบ่งเขตแดนไทย - ลาว กลับสู่สถานะเดิม ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔ เช่นเดียวกับ กรณีของเส้นแบ่งเขตแดนไทย - กัมพูชา ที่กล่าวมาแล้ว
ข. ความยาวและลักษณะโดยสรุปของเส้นแบ่งเขตแดนไทย - ลาว
ความยาวของเส้นเขตแดนไทย - ลาว มีรวมกันทั้งสิ้น ๑,๘๑๐ กิโลเมตร ประกอบด้วย
๑) เส้นเขตแดนตามร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขง ยาว ๙๗ กิโลเมตร ในจังหวัดเชียงราย
๒) เส้นเขตแดนตามสันปันน้ำของทิวเขาหลวงพระบาง ยาว ๕๐๕ กิโลเมตร ในจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก
๓) เส้นเขตแดนตามร่องน้ำลึกของแม่น้ำเหืองงา ยาว ๑๙ กิโลเมตร ในจังหวัดพิษณุโลก
๔) เส้นเขตแดนตามร่องน้ำลึกของแม่น้ำเหือง ยาว ๑๓๔ กิโลเมตร ในจังหวัดเลย
๕) เส้นเขตแดนตามร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขง ยาว ๘๕๘ กิโลเมตร ในจังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี โดยจังหวัดหนองคายมีเส้นเขตแดนในลำน้ำโขงยาวที่สุด คือ ๓๒๙ กิโลเมตร
๖) เส้นเขตแดนตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรัก ยาว ๑๙๗ กิโลเมตร ในจังหวัดอุบลราชธานี
๓. เส้นแบ่งเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า
ก. ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหนังสือสัญญา และอนุสัญญาของแนวเขตแดนไทย - พม่า
เส้นแบ่งเขตแดนไทย - พม่า ได้กำหนดขึ้นตามหนังสือสัญญาที่ทำระหว่างสยาม (ไทย) กับอังกฤษ โดยแบ่งออกเป็น ๒ ตอน คือ
(๑) แนวเขตแดนไทย - พม่า ช่วงตอนล่าง ตั้งแต่สบเมยจนถึงปากน้ำกระบุรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘ (ค.ศ. ๑๘๖๕) อังกฤษได้ส่งข้าหลวงใหญ่ประจำอินเดียมาติดต่อกับรัฐบาลสยาม เพื่อขอปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับพม่าของอังกฤษ และได้มีการจัดตั้งคณะข้าหลวงปักปันเขตแดนร่วมกันขึ้นมา ข้าหลวงปักปันเขตแดนได้ร่วมกันสำรวจ และชี้แนวเขตแดน ซึ่งกระทำกันในช่วง ๒ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๐๘ - ๒๔๑๐ (ค.ศ. ๑๘๖๕ - ๑๘๖๗) ฝ่ายอังกฤษเป็นผู้จัดทำแผนที่โดยเริ่มตั้งแต่สบเมย (จุดที่แม่น้ำเมยบรรจบกับแม่น้ำสาละวิน) ลงมาจนถึงปากน้ำกระบุรี ซึ่งออกสู่ทะเลที่ปลายแหลมวิกตอเรีย หลังจากทำแผนที่แสดงแนวเขตแดนบริเวณนี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้มีการทำหลักฐานทางกฎหมาย ในรูปของอนุสัญญาลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๑ (ค.ศ. ๑๘๖๙)
(๒) แนวเขตแดนไทย - พม่า ช่วงตอนบน ตั้งแต่สบเมยจนถึงสบรวก
ช่วงนี้ เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้มีการทำหนังสือสัญญากัลกัตตา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ (ค.ศ. ๑๘๗๔) กำหนดให้ตั้งแต่สบเมยขึ้นไปทางทิศเหนือ แม่น้ำสาละวินเป็นแนวเขตแดน ระหว่างสยามกับพม่าของอังกฤษ โดยมีตัวลำน้ำเป็นกลาง ฝั่งตะวันตกเป็นดินแดนของพม่า และฝั่งตะวันออกเป็นดินแดนของสยาม ยกเว้นดินแดนส่วนเล็กๆ ทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ที่ยังเป็นของไทยอยู่ คือ เมืองต่วนและเมืองสาด ซึ่งไทยก็ต้องยอมยกดินแดนส่วนนี้ให้แก่พม่า ของอังกฤษ ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ.๑๘๙๒)
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๔ (ค.ศ. ๑๙๓๑) ได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือความตกลงว่าด้วย เขตแดนระหว่างพม่า (เชียงตุง) กับสยาม ให้ใช้แนวร่องน้ำลึกของแม่น้ำสายเป็นแนวเขตแดน แทนที่จะใช้แนวกึ่งกลางลำน้ำตามที่กำหนดไว้แต่เดิม และในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้มีการแลกเปลี่ยนบันทึก ให้ใช้หลักเกณฑ์แนวร่องน้ำลึกเป็นแนวเขตแดน ขยายออกไปถึงแม่น้ำรวกด้วยเช่นกัน
ข. ความยาวและลักษณะโดยสรุปของเส้นแบ่งเขตแดนไทย - พม่า
ความยาวของเส้นเขตแดนไทย - พม่า มีทั้งสิ้น ๒,๔๐๑ กิโลเมตร ประกอบด้วย
๑) เส้นเขตแดนตามลำน้ำโดยใช้ร่องน้ำลึกของแม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย รวมยาว ๕๙ กิโลเมตร ในจังหวัดเชียงราย
๒) เส้นเขตแดนตามสันปันน้ำของทิวเขาแดนลาว ทิวเขาถนนธงชัยเหนือ และทิวเขาถนนธงชัยตะวันตก รวมยาว ๖๓๒ กิโลเมตร ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน
๓) เส้นเขตแดนตามแนว ๒ ฝั่งของแม่น้ำสาละวิน ยาว ๑๒๗ กิโลเมตร ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
๔) เส้นเขตแดนตามแนว ๒ ฝั่งของแม่น้ำเมย ยาว ๓๔๕ กิโลเมตร และแนว ๒ ฝั่งของห้วยวาเลย์ ยาว ๔๔ กิโลเมตร ในจังหวัดตาก
๕) เส้นเขตแดนตามสันปันน้ำของทิวเขาถนนธงชัยกลาง ยาว ๑๒๗ กิโลเมตร และเป็นเส้นตรง ยาว ๖๓ กิโลเมตร ในจังหวัดตาก และจังหวัดกาญจนบุรี
๖) เส้นเขตแดนตามสันปันน้ำของทิวเขาตะนาวศรี ยาว ๘๖๕ กิโลเมตร ในจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง
๗) เส้นเขตแดนในแนวร่องน้ำลึกของคลองกระ และแม่น้ำกระบุรี รวมยาว ๑๓๙ กิโลเมตร ในจังหวัดระนอง
๔. เส้นแบ่งเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย
ก. ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหนังสือสัญญา และอนุสัญญาของแนวเขตแดนไทย - มาเลเซีย
แนวเขตแดนไทย - มาเลเซีย มีที่มาจากการที่อังกฤษได้แผ่อิทธิพลทางการเมือง เข้าไปในคาบสมุทรมลายู โดยมีดินแดนตอนบนของมลายูที่เป็นประเทศราชของสยาม ได้แก่ เมืองปะหัง เประ ไทรบุรี ตรังกานู กลันตัน และปะลิส ต่อมา อังกฤษได้เข้ายึดเมืองปะหัง และเประ ฝ่ายสยามเห็นว่า อังกฤษได้เริ่มคุกคามยึดเอาหัวเมืองประเทศราชของไทยไปแล้ว ๒ แห่ง และเกรงว่า อังกฤษจะไม่หยุดยั้งเพียงเท่านั้น ดังนั้น ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๒ (ค.ศ. ๑๘๙๙) กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ ในรัชกาลที่ ๕ จึงได้เชิญนายจอร์จ เกรวิลล์ (George Greville) อัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงสยาม มาประชุมทำหนังสือสัญญาเขตแดน ระหว่างสยามกับอังกฤษในคาบสมุทรมลายู เกี่ยวกับการกำหนดแนวเขตแดนระหว่างเมืองรามัน (จังหวัดยะลา) ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายสยามกับเมืองเประ และปะหัง ที่อังกฤษได้ยึดไว้ก่อนแล้ว
ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ (ค.ศ. ๑๙๐๙) ได้มีการทำหนังสือสัญญาระหว่างสยามกับอังกฤษ โดยสยามยอมยกดินแดนเมืองกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปะลิส ตลอดจนเกาะที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงเมืองเหล่านี้ ให้แก่อังกฤษ เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจศาลของสยาม ที่จะใช้บังคับแก่คนในบังคับอังกฤษที่พำนักอาศัยอยู่ในสยาม และมีหนังสือสัญญาว่าด้วยเขตแดนแนบท้ายหนังสือสัญญาดังกล่าว โดยได้กำหนดแนวเขตแดนระหว่างสยามกับมลายูของอังกฤษไว้ว่า "เขตแดนเริ่มต้นตั้งแต่ ฝั่งเหนือของปากแม่น้ำปะลิส ต่อไปทางทิศเหนือจนถึงสันเขาที่ปันน้ำตกแม่น้ำปะลิสฝ่ายหนึ่ง กับแม่น้ำปูโยอีกฝ่ายหนึ่ง ต่อไปตามสันเขานี้จนถึงยอดเขาเยลี หรือต้นน้ำโก - ลก จากนั้น ก็ใช้ร่องน้ำลึกของแม่น้ำโก - ลก เป็นเขตแดน จนออกสู่ทะเลที่ตำบลปากน้ำตะใบหรือตาบา (Kuala Tabar)"
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้จัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนอังกฤษ - สยาม (Anglo - Siamese Boundary Demarcation Commission) เพื่อปักปันเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสยามกับมลายูของอังกฤษช่วง พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๕๕ (ค.ศ. ๑๙๑๐ - ๑๙๑๒) คณะกรรมการปักปันเขตแดนดังกล่าวได้ร่วมกันปักปันเขตแดน และปักหลักเขตแดนรวม ๗๒ หลัก และหลักเสริมอีก ๓๕ หลัก รวมเป็นหลักเขตแดนทั้งหมด ๑๐๗ หลัก ทั้งได้จัดทำแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๑๐๐,๐๐๐ และ ๑ : ๒๕๐,๐๐๐ แสดงตำแหน่งของหลักเขตแดนทั้ง ๑๐๗ หลักไว้ด้วย
ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ (ค.ศ. ๑๙๗๐) นายกรัฐมนตรีของไทย และของมาเลเซีย ได้เห็นชอบร่วมกัน จัดตั้งคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย - มาเลเซีย เพื่อดำเนินการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนเสริมหลักเขตแดน ที่สยามกับอังกฤษ ได้เคยปักปัน และปักหลักเขตแดนไว้แต่เดิม จำนวน ๑๐๗ หลัก ดังได้กล่าวแล้วในข้างต้น เพื่อให้เห็นเส้นแบ่งเขตแดนเด่นชัดยิ่งขึ้น คณะกรรมการได้เริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ และเสร็จสิ้นภารกิจ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้จัดทำหลักเขตแดนได้รวมทั้งสิ้น ๑๒,๑๖๙ หลัก เป็นระยะทาง ๕๕๑.๕ กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ ๘๗ ของเส้นแบ่งเขตแดนทางบก คงค้างไว้ ๒ พื้นที่ คือ พื้นที่จากหลักที่ ๖๙ - ๗๒ และพื้นที่แนวเขตแดนตามลำน้ำโก - ลก เนื่องจากยังมีปัญหาขัดแย้ง ที่ยังตกลงกันไม่ได้
ข. ความยาวและลักษณะโดยสรุปของเส้นแบ่งเขตแดนไทย - มาเลเซีย
ความยาวของเส้นแบ่งเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียมีรวมทั้งสิ้น ๖๔๗ กิโลเมตร ประกอบด้วย
๑) เส้นเขตแดนตามสันปันน้ำของทิวเขาสันกาลาคีรี ยาวประมาณ ๕๕๒ กิโลเมตร ในจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส
๒) เส้นเขตแดนตามแนวร่องน้ำลึกของแม่น้ำโก - ลก จนถึงปากแม่น้ำ ยาว ๙๕ กิโลเมตร ในจังหวัดนราธิวาส