ระบบโทรเลข และรหัสสัญญาณโทรเลขของมอร์ส ระบบโทรเลข ที่ยังใช้กันแพร่หลายมาจนกระทั่งทุกวันนี้เป็นผลงานของชาวอเมริกัน ชื่อ แซมมวล ฟินลี บรีซ มอร์ส (Samuel finley Breeze Morse เกิด พ.ศ. ๒๓๓๔ ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๔๑๕) มอร์สเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ ผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ขณะที่เดินทางกลับจากการไปศึกษาวิชาวิจิตรศิลป์ที่ทวีปยุโรปทางเรือ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ เพื่อนโดยสารเรือผู้หนึ่ง ชื่อ ดร. ชารลส์ ที. แจคสัน แหล่งเมืองบอสตัน ได้เล่าให้เขาฟังถึงคุณสมบัติของแม่เหล็กไฟฟ้า พร้อมกับทดลองทำให้ดูด้วย มอร์สสนใจมาก และเกิดความคิดที่จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแม่เหล็กไฟฟ้าไปทำให้ดินสอ หรือปากกากระดิกเคลื่อนเส้น ลากไปบนแถบกระดาษที่รองรับอยู่ การบันทึกสัญญาณโทรเลขลงบนแถบกระดาษถาวรเช่นนี้ นับว่า เป็นความคิดใหม่โดยแท้ แต่เป็นวิธีการเพียงคร่าวๆ เท่านั้น จนกระทั่งมอร์สได้เพื่อน ชื่อ แอลเฟรด เวล (Alfred vail) มาช่วยแก้ไขทางด้านเครื่องกลไก เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๐ ระบบโทรเลขของมอร์สจึงบรรลุผลสำเร็จ เครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขของมอร์ส ประกอบด้วยคันเคาะ หม้อไฟฟ้าสายลวด และเครื่องทำเสียง เมื่อกดคันเคาะที่สถานีส่ง หม้อไฟฟ้าจะส่งกระแสไป ในสายลวดผ่านขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าที่เครื่องทำเสียงของสถานีรับ แล้วกลับมาสู่หม้อไฟฟ้าของสถานีส่ง เป็นวงจรบรรจบรอบ | |||
ที่เครื่องทำเสียงมีแผ่นเหล็กบางๆ เป็นส่วนหนึ่งอยู่กับแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะที่ยังไม่มีกระแสไฟฟ้าผ่านมา แผ่นเหล็กบางๆ นี้ จะถูกขดลวดสปริงดึงไว้ ให้อยู่ห่างจากแม่เหล็กไฟฟ้า ต่อเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมา เพราะกดคันเคาะแผ่นเหล็กบางๆ นั้น จะถูกอำนาจเส้นแรงแม่เหล็กดึงเข้ามา กระแทก จึงเกิดเสียงดัง ครั้นเมื่อปล่อยหรือยกคันเคาะ กระแสไฟฟ้าหยุดไหล เส้นแรงแม่เหล็กไฟฟ้าหมดไป แผ่นเหล็กบางๆ นั้น ก็จะถูกขดลวดสปริง ดึงให้ถอยห่างออกไปอยู่ในท่าเดิม | |||
| เมื่อมอร์สสร้างเครื่องโทรเลขครั้งแรก เขาเอาปากกาต่อติดกับปลายแผ่นเหล็กบางๆ นั้น เมื่อแผ่นเหล็กบางถูกดึง เข้ามาหาแม่เหล็กไฟฟ้า(เพราะกดคันเคาะที่สถานีส่ง) ปากกา จะขีดลากเป็นเส้นหมึกลงบนกระดาษแถบเล็กๆ ที่ถูกฉุดให้เคลื่อนไปช้าๆ และเมื่อแผ่นเหล็กบางถูกขดลวดสปริงดึงห่างออกไป เพราะปล่อยหรือยกคันเคาะที่สถานีส่ง ปากกานั้น ก็จะถูกดึงขึ้นพ้นกระดาษแถบด้วย | ||
ความยาวของเส้นที่ปากกาขีด ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่กด คันเคาะ ถ้ากดไว้นานก็เป็นเส้นยาว และถ้ากดไว้เพียงชั่วระยะสั้น ก็เป็นเส้นสั้น
เส้นยาว (ซึ่งมักเรียกว่า ขีด) กับเส้นสั้น (ซึ่งมักเรียกว่า จุด) นี้คือ รหัสสัญญาณโทรเลข ที่เรียกว่า "รหัสมอร์ส" (Morse Code) และแปลออกมาเป็นอักษรโรมัน (คือตัวอักษร A B C ฯลฯ) |
| |
รหัสสัญญาณโทรเลขของมอร์ส ซึ่งประกอบขึ้นด้วย ขีด และจุด ยังนิยมใช้กันแพร่หลายตลอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เพียงแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้างเป็นบางตัวรหัสเท่านั้น เช่น รหัสมอร์สที่ใช้กันเฉพาะภายในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา แตกต่างกับรหัสมอร์สสากล (International Morse Code) ที่เรียกว่าคอนทิเนนทัล (Continental) หรือรหัสมอร์สสากลที่นิยมใช้กันทั่วโลก ๑๑ รหัสตัวอักษร เป็นต้น | |
| |
นอกจากรหัสมอร์สสากลแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็ได้ดัดแปลง ใช้รหัสมอร์สสากล ในการส่งโทรเลขเป็นภาษาของ ประเทศนั้นๆ ด้วย เช่น รหัสมอร์สภาษาไทย ดัดแปลงมาจากรหัสมอร์สสากล แต่ได้เพิ่มเติมมากขึ้นเพราะ ภาษาไทยมีพยัญชนะ และสระ มาก รหัสมอร์สภาษาญี่ปุ่น ดัดแปลงเช่นเดียวกับภาษาไทย แต่เขียนเป็นอักษรคะตะคะนะ หรือฮิระงะนะ (ส่วนคำที่ เขียนเป็นอักษรจีน ต้องแปลง มาเป็นตัวอักษรคะนะ ตาม เสียงอ่านเสียก่อน) มีจำนวน เท่าๆ กับรหัสมอร์สภาษาไทย รหัสโทรเลขภาษาจีน ใช้ตัวเลข ๔ ตัว เป็นรหัส ๑ หมู่ แทนตัวอักษรจีน ๑ ตัว มีตัวเลขรหัสใช้เกือบ ๙๙๙๙ หมู่ เช่น ๐๐๗๙ แปลว่า เมืองหลวง ๐๓๑๘ แปลว่า แม่ (มารดา) ๑๙๔๘ แปลว่า ประเทศ ๑๘๓๘ แปลว่า ด่วน ๗๔๕๖ แปลว่า ม้า |
ใน พ.ศ. ๒๓๘๖ มอร์สได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล สหรัฐอเมริกาให้สร้างทางสายโทรเลขสายแรกของโลก จากกรุงวอชิงตัน ไปเมืองบัลติมอร์เป็นจำนวน ๓๐,๐๐๐ เหรียญ และเปิดใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๘๗ (ตรง กับ ค.ศ. ๑๘๔๕ หรือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ) |
| ||||||||||
กิจการโทรเลขในสหรัฐอเมริกา อันเป็นแหล่งกำเนิด การโทรเลขชนิดใช้กระแสไฟฟ้า ไม่ได้ดำเนินไปโดยราบรื่น นับว่า แตกต่างกับในทวีปยุโรปที่กิจการโทรเลขอยู่ในความ ควบคุมของรัฐบาลแต่ละประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า รัฐสภา สหรัฐอเมริกา ได้มีมติให้ขายกิจการ และทรัพย์สินของทางสายโทรเลขสายแรก ระหว่างกรุงวอชิงตันกับเมืองบัลติมอร์ ให้แก่เอกชนไป เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๐ เพราะเมื่อมอร์สเสนอยกกิจการโทรเลขให้แก่รัฐบาล รัฐบาลไม่ยอมรับ เนื่องจากรัฐมนตรีการไปรษณีย์สมัยนั้น ให้ความเห็นว่า "ไม่แน่ใจว่า กิจการโทรเลขจะทำรายได้ให้คุ้มกับที่ต้องลงทุนไป" | |||||||||||
| |||||||||||
กิจการโทรเลขในสหรัฐอเมริกามาได้รับการพัฒนา และขยายงานอย่างรวดเร็ว เมื่อบริษัทเอกชนหลายบริษัทรวมทุนกัน ตั้งบริษัทการโทรเลขชื่อว่า เวสเทิร์นยูเนียน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘ (ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ )
ใน พ.ศ. ๒๔๐๙ บริษัทเวสเทิร์นยูเนียน มีที่ทำการ โทรเลข ๒,๒๕๐ แห่ง และมีทางสายโทรเลขเพิ่มจากที่มีอยู่เดิม ๙๐๐ กิโลเมตร เป็น ๑๒๐,๐๐๐ กิโลเมตร การขยายทางสาย โทรเลขเช่นนี้ ช่วยให้การส่งข่าวหนังสือพิมพ์ทางโทรเลข ของสำนักข่าวแอสโซซิเอเต็ด เพรสส์ (Associated Press หรือ ที่เรียกย่อว่า A.P.) ให้แก่หนังสือพิมพ์ในนิวยอร์ก เจริญก้าวหน้า ขึ้นด้วย
ส่วนในทวีปยุโรป เมื่อกิจการโทรเลขมิได้จำกัดใช้อยู่ แต่ในวงการเดินรถไฟ และเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้แล้ว สำนักงานหนังสือพิมพ์ก็เป็นผู้ใช้บริการโทรเลขเป็นกลุ่มแรก และใช้บริการนี้มากที่สุด บุคคลที่มองเห็นประโยชน์ของการ โทรเลขอย่างใหม่นี้มากที่สุดคนหนึ่ง คือ จูเลียส รอยเตอร์ ชาวเยอรมัน (Julius Reuterเกิด พ.ศ. ๒๓๕๙ ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๔๔๒) ใน พ.ศ. ๒๓๙๓ เมื่อทางสายโทรเลขระหว่าง กรุงเบอร์ลินกับเมืองอาเคน ยังไม่บรรจบกับทางสายโทรเลข ระหว่างกรุงปารีสกับกรุงบรัสเซลส์ โดยยังขาดอยู่อีก ๑๕๐ กิโลเมตร รอยเตอร์ก็ใช้นกพิราบบินส่งข่าวสารในช่วงที่ยังขาดอยู่นั้น
ต่อมา รอยเตอร์ได้เดินทางไปกรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ และได้อยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ พร้อมกับ การสร้างชื่อเสียง และความร่ำรวยจากการขายข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจและการคลัง ให้แก่สำนักงานหนังสือพิมพ์ และบริษัทห้างร้านเอกชน ผู้สนใจในรูปของกิจการ "ข่าวโทรเลขรอยเตอร์" ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และยั่งยืนมาจนทุกวันนี้
การทวีปริมาณโทรเลขรับส่งในสาย การรับส่งโทรเลขแบบมอร์สแต่เดิมนั้น ใช้กระแสไฟฟ้า ชนิดกระแสตรงส่งไปในสายลวด สามารถส่งโทรเลขได้เพียงครั้งละฉบับเดียว เมื่อสถานีต้นทางเป็นผู้ส่งโทรเลข สถานี ปลายทางต้องเป็นผู้รับโทรเลขจนหมดฉบับ แล้วสถานีปลายทางจึงจะส่งโทรเลขของตนมาสถานีต้นทางได้ วิธีการเช่นนี้ เรียกว่า ระบบซิมเพล็กซ์ (simplex) ต่อมา จึงได้มีการปรับปรุงทางวิชาการ จนสามารถส่งโทรเลขสวนทางกันไปมาได้ ในทางสายเส้นเดียวกัน ระบบนี้เรียกว่าระบบ ดูเพล็กซ์ (duplex) ภายหลังก็มีระบบมัลติเพล็กซ์ (multiplex) ซึ่งสามารถส่งโทรเลขไปมาในเวลาเดียวกัน และใช้สายเส้นเดียวกัน ได้มากกว่าระบบดูเพล็กซ์ ถึง ๔ เท่า
ปัจจุบัน การโทรเลขทางสายได้พัฒนาไปมาก จนถึง กับใช้กระแสสลับความถี่วิทยุขนาดความถี่ต่ำๆ ส่งไปในสายโทรเลข แทนการส่งกระแสตรงอย่างที่เคยใช้กันมา ทำให้ สามารถส่งโทรเลขไปในสายเส้นเดียวได้มากกว่า ๓๐๐ ฉบับ ในเวลาเดียวกัน |
บทความและภาพประกอบที่อยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ นี้ใช้สำหรับเพื่อสนับสนุนการผลิตหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ
เป็นการเผยแพร่วิชาการให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป โดยจะนำไปแจกจ่ายให้โรงเรียนทั่วประเทศ และจำนวนหนึ่งนำออกจำหน่ายเพื่อนำเงินมาสมทบทุนในการจัดพิมพ์ต่อไป
ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ทั้งนี้มูลนิธิได้รับอนุญาตทั้งบทความและภาพประกอบจากผู้เขียนแล้ว หากมีประเด็นขัดข้องสงสัยในเรื่องลิขสิทธิ์อย่างใด ขอได้โปรดแจ้งให้
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ ทราบเพื่อพิจารณาแก้ไขความขัดข้องสงสัยนั้นต่อไป จะเป็นพระคุณยิ่ง
ลิขสิทธิ์เป็นของมูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ
ห้ามนำข้อความและรูปภาพไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต