เราทุกคนมีบ้านอยู่ บ้านคือที่อยู่อาศัย บางทีเราเรียกว่า กระต๊อบ กระท่อม ห้องแถว ตึก วัง เป็นต้น แต่ที่อยู่อาศัยเหล่านี้ ต่างเป็นบ้านทั้งสิ้น | |
ทำไมเราต้องมีบ้าน เรามีบ้านไว้ เพื่อเป็นสถานที่ สำหรับการกินอยู่ พักผ่อน หลับนอน เท่านั้นหรือ | |
ลองคิดถึงสมัยโบราณ ตั้งแต่ครั้งมนุษย์ได้อาศัยอยู่ในถ้ำ เขาได้ใช้ถ้ำเป็นที่กำบังแดด ฝน พายุ หิมะและลูกเห็บ ใช้ถ้ำเป็นที่ให้ความอบอุ่น ป้องกันความหนาวเย็น และใช้เป็นที่ป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายหรือศัตรูอื่นๆ ด้วย | |
แต่ผู้คนเหล่านั้นจะอยู่แต่เพียงภายในถ้ำไม่ได้ ต้องออกไปหาอาหารนอกถ้ำ เมื่ออาหารในบริเวณใกล้เคียงขาดแคลนลง ก็ต้องเดินทางออกไปไกลยิ่งขึ้น และไปคราวละหลายๆ วัน ขณะที่ค้างแรมก็ต้องมีที่กันแดด ฝน หิมะ และความหนาวเย็นเช่นกัน จึงมีการนำเอาใบไม้ กิ่งไม้ และหนังสัตว์มาทำเป็นซุ้ม เป็นเพิง อาศัยอยู่ชั่วคราว ต่อมามนุษย์ก็เริ่มออกมาอาศัยนอกถ้ำ และดัดแปลงซุ้ม เพิงเหล่านั้นให้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังมากขึ้น ที่อยู่อาศัยจึงมีลักษณะเปลี่ยนไปจากถ้ำ กลายเป็นกระโจมหนังสัตว์ เป็นกระท่อมใบไม้ ใบหญ้า กระท่อมดิน กระท่อมหิน กระท่อมไม้ ที่อยู่อาศัยของมนุษย์จึงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ |
เมื่อโลกเจริญขึ้น บ้านเรือนของเราก็มีลักษณะแตกต่างไปจากสมัยโบราณ แม้จะยังเป็นสถานที่ที่เราใช้สำหรับ การกินอยู่ หลับนอน และดำรงชีวิตได้โดยปลอดภัย เหมือนสมัยก่อน แต่ก็เพิ่มความสะดวกสบาย เป็นทั้งที่พักผ่อนหย่อนใจ และให้ความผาสุข ยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกมาก | |
ตามชนบทของประเทศไทยเรา บ้านเรือนที่อยู่อาศัยเป็นบ้านไม้เกือบทั้งหมด แต่มีขนาดและลักษณะแตกต่างกันตามฐานะ มีทั้งที่เป็นบ้านเจ้าของก่อสร้างเองอย่างง่ายๆ ใช้ไม้และวัสดุท้องถิ่นที่หาได้รอบๆ ตัว หลังคามุงด้วยใบไม้ เช่น จากหรือหญ้าคา หรือที่ดียิ่งขึ้นก็มุงด้วยสังกะสี มีทั้งบ้านที่เป็นเรือนฝากระดานปลูกโดยช่างไม้ ช่างก่อสร้าง โดยใช้ไม้แปรรูปเป็นส่วนใหญ่ หลังคามุงด้วยสังกะสี หรือกระเบื้องแผ่น กระเบื้องลอน วิธีการปลูกบ้านถูกต้องตามหลักการมากขึ้น |
บ้านที่ถือกันว่า อยู่สบายตามชนบทของเรานั้น เป็นบ้านไม้แบบทรงไทย มีใต้ถุนสูง มีบันไดขึ้น มีระเบียง นอกชาน และมีห้องหลายห้องที่ว่าอยู่สบาย เพราะไม่ค่อยร้อน เนื่องจากวัสดุก่อสร้างเป็นไม้เกือบทั้งหมด |