เสียงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง ไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำหนัก และไม่ต้องการที่อยู่ แต่สามารถทำงานได้ กล่าวคือ เสียงทำให้แก้วหูของเราสั่น เมื่อแก้วหูสั่นก็จะกระเทือนต่อเนื่องกันไปจนถึงประสาทหู เปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าสู่สมอง ทำให้เราได้ยิน เสียง เสียงเกิดขึ้นรอบตัวเราทั้งวัน เสียงอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดขึ้น เนื่องจากคนเป็นผู้กระทำก็ได้ ตัวอย่างของเสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ได้แก่ เสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกัน เมื่อมีลมพัด เสียงน้ำตก เสียงคลื่น เสียงฝน เสียงฟ้าร้อง ส่วนเสียงที่คนกระทำขึ้น ได้แก่ เสียงดนตรี เสียงระฆังบอกเวลา เสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียงแต รรถ เสียงรอบตัวเรามีทั้งเสียงไพเราะน่าฟัง และเสียงหนวกหูน่ารำคาญ เราชอบฟังเสียงไพเราะ เช่น เสียงนกร้อง เสียงดนตรี แต่ไม่ชอบฟังเสียงหนวกหู น่ารำคาญ หรือเสียงดังอึกทึกต่างๆ |
เสียงมีความดังเป็นหลายระดับ ตั้งแต่เสียงค่อยมากๆ จนถึงเสียงดังมากๆ เสียงหัวใจเต้น เสียงกระซิบ เป็นตัวอย่างของเสียงค่อยมากๆ ส่วนเสียงตะโกน เสียงหวูด เสียงพลุ เสียงปืนใหญ่ เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าใกล้ๆ เสียงเครื่องบินกำลังบินขึ้นหรือลงใ กล้ๆ เป็นตัวอย่างของเสียงดังมากๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อประสาทหู อาจทำให้หูตึง หรือหูพิการได้ ควรใช้เครื่องป้องกัน หรืออุดหู เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้ |
นอกจากนั้น การอยู่ในที่ซึ่งมีเสียงดังอึกทึกติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เช่น ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีเครื่องจักรส่งเสียงดังติดต่อกัน อาจทำให้หูตึง หูหนวก และสุขภาพจิตเสื่อมได้ ควรระมัดระวัง และใช้เครื่องครอบหู เพื่อป้องกันอันตราย ที่จะเกิดแก่หูของเรา |