เล่มที่ 35
มวยไทย
เล่นเสียงเล่มที่ 35 มวยไทย
สามารถแชร์ได้ผ่าน :

            มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ล้วนต้องดิ้นรนต่อสู้ เพื่อให้ตนเองปลอดภัยจากอันตรายรอบตัว จึงได้พยายามคิดค้นวิธีการต่อสู้ป้องกันตนเองขึ้น ในแต่ละชนชาติจะมีรูปแบบการต่อสู้ประจำชาติที่แตกต่างกัน ชาติไทยก็มีการต่อสู้ประจำชาติเช่นกัน เป็นการต่อสู้โดยใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธ เรียกว่า มวยไทย


มวยไทยเป็นการต่อสู้ที่ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย

            ประวัติของมวยไทยไม่มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน แต่สามารถยืนยันได้ว่า มีมาคู่กับคนไทยและชาติไทย มวยไทยจะแตกต่างจากมวยสากลที่สามารถใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ได้แก่ มือ เท้า เข่า ศอก และศีรษะ เข้าต่อสู้ป้องกันตนเอง และมีการพลิกแพลงดัดแปลงเป็นท่าต่างๆ เช่น การใช้หมัดชก จะมีการชกแบบมุดตัวเหวี่ยง หมัดกลับ ถ้าใช้เท้า ก็จะมีการเตะต่ำ เตะสูง และยังมีการถีบ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งปลายเท้า ฝ่าเท้า หลังเท้า และส้นเท้า นอกจากนี้ ยังใช้เข่า โดยจับกอดคู่ต่อสู้ตีเข่า กระโดดตีเข่า และการใช้ศอกได้อีกหลายวิธี เช่น เหวี่ยงศอก ศอกงัด ศอกกลับ


ท่าแม่ไม้มวยไทย

            ผู้ที่จะฝึกเป็นนักมวยต้องฝึกทักษะต่างๆ ที่เรียกว่า แม่ไม้มวยไทย เป็นท่าการใช้ศิลปะมวยไทยที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานของมวยไทย แบ่งออกเป็น ๑๕ ไม้ ท่าที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น จระเข้ฟาดหาง หักคอเอราวัณ สลับฟันปลา ท่าต่างๆ เหล่านี้ ยังแยกย่อยออกไปได้อีก ๑๕ ไม้ เช่น กวางเหลียวหลัง หิรัญม้วนแผ่นดิน หนุมานถวายแหวน

ท่าลูกไม้มวยไทย

            นอกจากนี้ยังต้องฝึกกลมวย กลเม็ด ลูกไม้ ศิลปะเชิงรุกและเชิงรับอีกด้วย จะเห็นได้ว่า มวยไทย นอกจากจะเป็นการต่อสู้ป้องกันตัวแล้ว ยังสอดแทรกศิลปวัฒนธรรมของไทยไว้ด้วย


มวยไทยที่ชกกันในปัจจุบันมีลักษณะการชกที่เปลี่ยนไป คือ ใช้เพียงกอด ตีเข่า ใช้หมัด ศอก เตะ และถีบ เท่านั้น

            สิ่งสำคัญที่สุดของมวยไทย คือ การไหว้ครู เนื่องจากผู้ฝึกสอนมวยไทยส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุ ซึ่งแต่เดิมเป็นทหารเอก ยอดขุนพล หรือยอดนักรบของชาติ การไหว้ครูเป็นประเพณีอันดีงามของคนไทย เป็นการระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ ผู้ถ่ายทอดวิชาให้ พระคุณของบิดามารดา พระพุทธคุณ พระคุณของเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ท่าทางที่ร่ายรำต้องฝึกให้ถูกต้องสวยงาม ก่อนเริ่มการแข่งขันจะต้องไหว้ครูทุกครั้ง โดยมีดนตรีบรรเลงประกอบ เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่ชวา กลองแขก และฉิ่ง ในระหว่างการชก ดนตรีก็ยังบรรเลงอยู่ เพื่อเร้าใจผู้ชกให้ฮึกเหิม การร่ายรำ และการต่อสู้ โดยมีดนตรีประกอบ นอกจากจะถือว่า มีศิลปะแล้ว ยังเป็นประเพณีอันดีงามของคนไทยแต่โบราณ ไม่ควรให้สูญหายไป 


            การชกมวยไทยยสมัยแรกเริ่มชกกันบนลานดิน  ต่อมา มีการกั้นเชือกเป็นบริเวณสี่เหลี่ยมจตุรัส   ผู้ชกไม่สวมนวม แต่ใช้ด้ายดิบพันมือจนถึงข้อศอก  พันรัดเป็นปมทางด้านหลัง ของข้อนิ้วมือ เป็นรูปก้นหอย เรียกว่า คาดเชือก หรือมวยคาดเชือก นักมวยสวมกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ ไม่สวมรองเท้า บางคนจะสวมเสื้อยันต์ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ มีผ้าประเจียดรัดที่แขนทั้งสองข้าง ศีรษะสวมมงคล ซึ่งจะถอดออก เมื่อเริ่มการชก

สมัยโบราณยังไม่มีกติกาการแข่งขัน นักมวยจะชกกันจนกว่าอีกฝ่ายแพ้ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ เริ่มมีกติกากำหนดเวลาการแข่งขันเป็นยก โดยใช้กะลามะพร้าวที่มีรูลอยน้ำไว้ เมื่อกะลาจมถึงก้นอ่าง ก็จะตีกลองเป็นสัญญาณว่า หมดยก โดยไม่กำหนดจำนวนยกว่ามีกี่ยก ให้ชกกันไปจนกว่าอีกฝ่ายจะแพ้


ในแต่ละจังหวัดจะฝึกนักมวยฝีมือดีไว้แข่งขันกัน และมีวิธีการชกเป็นแบบฉบับของแต่ละถิ่น จึงเกิดมวยรูปแบบต่างๆ ที่มีชื่อเสียง คือ มวยไชยา จากสุราษฎร์ธานี มวยโคราช และมวยลพบุรี เป็นต้น