ตับอักเสบซี
ภายหลังที่บลุมเบอร์กและคณะได้รายงานเรื่องออสเตรเลีย แอนติเจน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ แล้ว อีกประมาณ ๕ ปี ให้หลัง ปรากฏว่า การบริการโลหิตในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งๆ ที่ ได้มีการตรวจคัดเอาเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ออกไปเสีย ก่อนที่จะนำไปใช้ และทั้งๆ ที่ การให้การวินิจฉัยโรคตับอักเสบ เอ และ บี มี วิธีการที่แน่ชัดขึ้น แต่กระนั้นก็ดีอุบัติการณ์ของ โรคตับอักเสบจากการรับเลือดยังคงมีอยู่และ ตับอักเสบดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่า ไม่ได้เกิดจาก ไวรัส เอ หรือไวรัส บี ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงมีผู้เสนอแนะให้ใช้ชื่อว่า ตับอักเสบชนิดไม่ใช่ เอ ไม่ใช่บี
จากการศึกษาทางระบาดวิทยา และทางห้องปฏิบัติการพบว่า
๑. ตับอักเสบที่ไม่ใช่เอ ไม่ใช่บีนี้ พบบ่อยขึ้น ภายหลังการถ่ายเลือด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
๒. ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ระหวางตับอักเสบ เอ และตับอักเสบ บี ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะยาวนานคล้ายตับอักเสบบี
๓. ในแง่ของการวินิจฉัย เมื่อได้ทำการทดสอบต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยครบถ้วน ไม่พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิดที่รู้จักกันมาก่อนเป็นตัวก่อเหตุ
๔. ในทางระบาดวิทยาพบว่า ตับอักเสบไม่ใช่เอ ไม่ใช่บี นั้น น่าจะมีอยู่มากกว่า ๑ ชนิด คือ ชนิดที่แพร่โดยการถ่ายเลือด หรือการให้ผลิตภัณฑ์จากเลือด หรือการใช้เข็มและกระบอกฉีดยาร่วมกัน กับอีกชนิดหนึ่งคือ แพร่โดยการกินน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ สำหรับชนิดหลังนี้ ต่อมาเรียกชื่อว่า ไวรัสตับอักเสบ อี
ในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี พบว่า ร้อยละ ๒๕-๕๐ จะหายจากโรค ร้อยละ ๕๐-๗๕ กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง และกลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ