หน้าที่ของเห็ดในระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ (ecosystem) หมายถึง หน่วยของกลุ่มสิ่งมีชีวิตและปัจจัยสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่กว้างพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่มีความผูกพันกัน จนก่อให้เกิดเป็นระบบของการถ่ายทอดพลังงานและสารอาหาร
ในระบบนิเวศนั้น พืชทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตอินทรียวัตถุ จึงเรียกว่า ผู้ผลิต (producer) ส่วนสัตว์ทำหน้าที่ใช้ประโยชน์ จากผลิตผลของพืช จึงเรียกว่า ผู้บริโภค (consumer) ซึ่งแยกย่อยออกไปอีกหลายระดับ ได้แก่ สิ่งมีชีวิตกินพืช (herbivore) สิ่งมีชีวิตกินสัตว์ (carnivore) สิ่งมีชีวิตกินพืชและสัตว์ (omnivore) และสัตว์กินซากสัตว์ (scavenger)
ในส่วนของจุลินทรีย์ อันได้แก่ แบคทีเรียแอกทิโนไมซิส (actinomyces) รา (fungi) และไส้เดือนฝอย (nematode) เป็นกลุ่มซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียสารให้มีขนาดเล็กลงกลายเป็นธาตุอาหารกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม จึงมีชื่อเรียกว่า ผู้ย่อยสลาย (decomposers) แบคทีเรียและราชนิดต่างๆ จะปล่อยน้ำย่อยออกมาจากเซลล์เพื่อสลายเซลลูโลสหรือเนื้อเยื่ออินทรียสารอื่นๆ ทำให้ได้พลังงานและธาตุอาหารออกมาใช้ในกลุ่มของผู้ย่อยสลายเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งกลับคืนสู่สภาพแวดล้อม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป
เนื่องจากเห็ดคือรากลุ่มหนึ่ง ดังนั้น ในระบบนิเวศ เห็ดจึงทำหน้าที่เป็นผู้ย่อยสลาย โดยผลลัพธ์จากการย่อยสลาย มักอยู่ในรูปธาตุอาหารต่างๆ ที่เห็ดนำไปใช้ในการเติบโต ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปถึงการได้มาซึ่งอาหารของเห็ด หรือพิจารณาจากสิ่งที่เห็ดขึ้นอยู่เป็นหลัก จะสามารถแบ่งเห็ดออกได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ เห็ดปรสิตกับสิ่งมีชีวิตอื่น เห็ดแซปโพรไฟต์ และเห็ดที่อยู่แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น
๑. เห็ดปรสิตกับสิ่งมีชีวิตอื่น (Parasitic mushroom)
เห็ดกลุ่มนี้สามารถเจริญบนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และทำให้เกิดโรคกับสิ่งมีชีวิตนั้นได้ เช่น เห็ดที่พบอยู่บนลำต้น กิ่ง และก้านของพืช ที่มีชีวิต ก่อให้เกิดโรคลำต้นเน่า ไส้เน่าหรือแก่นไม้ผุ (heart rot) และรากเน่า อาการของโรคอาจรุนแรงจนทำให้พืชตายทั้งต้น ซึ่งจะกล่าวต่อไปในหัวข้อโทษของเห็ด
๒. เห็ดแซปโพรไฟต์ (Saprophytic mushroom)
เห็ดแซปโพรไฟต์หรือเห็ดกินซากสิ่งมีชีวิต คือ เห็ดที่ขึ้นอยู่บนเศษซากพืช ได้แก่ ซากใบไม้ กิ่งไม้ ขอนไม้ ฮิวมัส มูลสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร) ซากแมลง และซากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ขนสัตว์ ขนนก เขาสัตว์ กีบตีนสัตว์ เห็ดส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เห็ดจะผลิตเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสลายเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนินออกมา เพื่อย่อยผนังเซลล์พืชที่มีเซลลูโลสร้อยละ ๕๐-๗๐ เฮมิเซลลูโลสร้อยละ ๑๐-๒๐ และลิกนินร้อยละ ๑๐-๒๐ ของเนื้อไม้โดยน้ำหนัก ทำให้สารประกอบที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น บางอย่างหรือทั้งหมดเกิดการย่อยสลายเป็นโมเลกุล ที่มีขนาดเล็ก ส่งผลให้เนื้อไม้ค่อยๆ เปลี่ยนรูป เกิดการเน่าเปื่อยหรือผุพัง (wood decay) จนในที่สุดกลายเป็นแร่ธาตุซึ่งบางส่วนถูกเห็ดดูดไปใช้เป็นอาหาร และบางส่วนกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม
การเน่าเปื่อยหรือผุพังของเนื้อไม้มี ๒ แบบ คือ ไวต์รอต (white rot) และบราวน์รอต (brown rot) โดยขึ้นอยู่กับความสามารถ ในการผลิตเอนไซม์ของเห็ด ดังนี้
เห็ดตีนปลอก ที่ทำให้ขอนไม้
เกิดการย่อยสลายแบบไวด์รอต
๑) การผุพังแบบไวต์รอต
เห็ดสามารถผลิตเอนไซม์ที่ย่อยสลายเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ในเนื้อไม้ได้ทั้งหมด ทำให้เนื้อไม้ที่เหลืออยู่ อ่อนนิ่มเป็นสีขาว สามารถจับฉีกแยกออกจากกันเป็นเส้นได้โดยง่าย คล้ายกับชานอ้อย ตัวอย่างของเห็ดไวต์รอต ได้แก่ เห็ดหูหนู เห็ดตีนปลอก (Lentinus sajor-caju) เห็ดบดหรือเห็ดลม เห็ดหอม และเห็ดขอนสีส้ม (Pycnoporus sanguineus)
๒) การผุพังแบบบราวน์รอต
เห็ดจะสร้างเอนไซม์ที่ย่อยสลายได้เฉพาะเซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลสเท่านั้น แต่จะเหลือลิกนินไว้ จึงทำให้เนื้อไม้ที่ผุ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงและมีรอยแตกในเนื้อไม้ทั้งตามขวางและตามยาว ซึ่งจะหลุดออกจากกันเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ได้โดยง่าย ถ้าบีบเนื้อไม้ที่ผุด้วยปลายนิ้วจะละเอียดเป็นผง เปรียบคล้ายกับก้อนถ่าน ตัวอย่างของเห็ดบราวน์รอต ได้แก่ Daedalea quercina, Gloeophyllum sp. และ Fomitopsis sp.
ขอนไม้ที่ถูกย่อยสลายแบบบราวน์รอต
ในจำนวนเห็ดที่กินซากสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันในโลกนี้ เห็ดที่จัดว่าเป็นไวต์รอตมีประมาณร้อยละ ๙๘ ที่เหลือคือเห็ดบราวน์รอต ซึ่งส่วนใหญ่ทำให้เกิดการผุพังของเนื้อไม้สน (conifer)
เห็ด Daecalea quereina ทำให้เกิดการย่อยสลายแบบบราวน์รอต
วงแหวนนางฟ้า (fairy ring)
เป็นเห็ดในกลุ่มของเห็ดกินซากสิ่งมีชีวิต จะพบปรากฏการณ์พิเศษที่มักมีผู้กล่าวถึงคือ การเกิดวงแหวนนางฟ้าบนพื้นดิน ที่มีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ และมีการกระจายของสารอาหารอย่างสม่ำเสมอ เช่น สนามหญ้า เริ่มจากมีสปอร์ของเห็ด ๑ อัน มาตกบนดินบริเวณนั้น แล้วสปอร์จะงอกออกมาเป็นเส้นใย จากนั้นเส้นใยก็จะเติบโตยืดยาวพร้อมกับแตกแขนง แผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง ด้วยอัตราเร็วที่เท่ากัน จนมีลักษณะเป็นวงกลม การเติบโตของเส้นใยเห็ดในดินที่มองไม่เห็นนี้ อาจใช้ระยะเวลานานเกือบปี แต่เมื่อถึงเวลาและภาวะที่เหมาะสม เส้นใยเห็ดจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ ในการเติบโตเต็มที่ และสร้างดอกเห็ดเรียงกันเป็นวงบนพื้นดิน มองเห็นเป็นวงแหวนดอกเห็ด หรือเรียกว่า วงแหวนนางฟ้า