การเลี้ยงปลาในกระชัง การเลี้ยงปลาในกระชัง หมายถึง การเลี้ยงปลาในภาชนะกักขัง ตั้งแต่ลูกปลาไปจนถึงปลาขนาดใหญ่ น้ำสามารถถ่ายเทได้รอบด้านของภาชนะกักขัง | |
การเลี้ยงปลาในกระชัง | |
การเลี้ยงปลาแบบนี้สามารถดำเนินการได้ในแหล่งน้ำทั่วไปในแม่น้ำ อ่างเก็บน้ำ คลองส่งน้ำ แม้แต่ในบ่อที่ขุดแร่ ซึ่งมีน้ำขัง หรือแหล่งน้ำที่เต็มไปด้วยตอไม้ก็ใช้ได้ การเลี้ยงปลาในกระชังเป็นวิธีการหนึ่งที่เหมาะสมทั้งทางเศรษฐกิจ และการปฏิบัติ นอกจากนั้น วิธีนี้อาจจะนำไปใช้ในแหล่งน้ำกร่อย หรือในทะเลก็ได้ การเลี้ยงปลาในกระชังสามารถปล่อยปลาได้หนาแน่น การให้อาหารสมทบที่สมดุลจะให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตสูงในระยะเวลาอันสั้น ส่วนประกอบอย่างอื่นของตัวกระชังก็คือ ๑. ทุ่นสำหรับลอยกระชัง ชนิดที่ลอยผิวน้ำ ประกอบด้วยทุ่นโลหะหรือพลาสติก หรือท่อพีวีซี (PVC) ปิดหัวท้าย ๒. ฝาปิด ฝาปิดส่วนบนจะช่วยป้องกันศัตรู โดยเฉพาะพวกนก ป้องกันสาหร่ายเกาะตัวกระชัง และป้องกันขโมย และบางโอกาส ทำให้ปลาไม่ตื่นตกใจ กินอาหารดีขึ้น ฝาปิด อาจทำด้วยอวน ไม้หรือตาข่ายโลหะ และผักตบชวา ๓. ที่ให้อาหาร ควรจะต้องมี มิฉะนั้นจะสูญหาย ที่ให้อาหารอาจเป็นแป้นสี่เหลี่ยมมีเนื้อที่ ๑ ตารางเมตร หรือถ้าให้อาหารลอย ก็ควรมีกรอบป้องกันอาหารไหลตามน้ำ | |
ปลาไน | |
รูปร่างลักษณะของกระชัง ส่วนใหญ่มีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมด้านเท่า บางแห่งสร้างรูปกลมหรือหกเหลี่ยม ขนาดของกระชัง มีปริมาตร ตั้งแต่ ๑-๑๐๐ ลูกบาศก์เมตร ขนาดเล็ก ๐.๗-๑๐ ลูกบาศก์เมตร ส่วนใหญ่ใช้สำหรับทดลอง แต่ที่ทำ เป็นการค้า เช่น ในอินโดนีเซีย อาจมีขนาดถึง ๑๖-๑๕๐ ลูกบาศก์- เมตร การเลี้ยงปลาในกระชังไม่ควรจะทำกระชังขนาดใหญ่ เพราะมีข้อเสียหาย และความไม่สะดวกหลายประการในการจัดการ ขนาดกระชังที่เหมาะกับการเลี้ยงปลา ควรมีขนาดความจุ ๒๐ ลูกบาศก์เมตร | |
ปลานิล | การเลี้ยงปลาในกระชังมิใช่ของใหม่ แต่มีมาแล้วไม่น้อย กว่า ๑๐๐ ปี การเลี้ยงปลาดังกล่าว กระทำกันตามทะเลสาบ แม่น้ำ โขง และสาขาของแม่น้ำโขง ปลาที่เลี้ยงส่วนใหญ่ ได้แก่ ปลา สวาย ปลาเทโพ และปลาดุก การเลี้ยงปลาในกระชังของไทย กระทำกันอยู่ในแม่น้ำน่าน จังหวัดนครสวรรค์ และแม่น้ำ สะแกกรัง จังหวัดชัยนาท |
ชนิดของปลาที่ควรจะเลี้ยงในกระชัง ควรมี ลักษณะดังนี้ ก. ในแง่ทางชีววิทยาและสรีรวิทยา ๑. โตเร็ว ๒. กินอาหารสมทบที่ให้ ๓. สามารถเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อได้ดี ๔. สามารถอยู่ได้หนาแน่นแออัด ๕. ทนต่อสภาวะแวดล้อมโดยเฉพาะในน้ำที่มีก๊าซ ออกซิเจนต่ำ ๖. ทนทานและมีความต้านทานโรคสูง ๗. หาลูกปลาได้สะดวก มีปริมาณพอเพียง ข. ในแง่เศรษฐกิจ ๑. ราคาซื้อขายสูง ๒. ขายง่าย ขายสดไม่ต้องผ่านกรรมวิธีมาก ๓. ชนิดที่ตลาดต้องการ ปลาน้ำจืดที่มีความต้านทานที่เหมาะจะเลี้ยงในกระชังมีอยู่ ๕ ครอบครัว คือ
ข้อเสียของปลาสกุลตีลาเบียที่เลี้ยงในบ่อดินก็คือ อัตรา การขยายพันธุ์ปลาสกุลตีลาเบีย เช่น ปลาหมอเทศ มีอัตราการขยายพันธุ์รวดเร็วมาก จึงทำให้การเจริญเติบโตชะงักงัน แต่เมื่อ นำไปเลี้ยงในกระชัง การสืบพันธุ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจาก ปลาไม่สามารถทำหลุมวางไข่ในกระชังลอย ในปัจจุบันได้มีการ ทดลองเลี้ยงปลาหลายชนิดรวมกันในกระชัง ซึ่งจะทำให้ผลผลิตปลาสูงขึ้น โดยปล่อยปลาไนร้อยละ ๖๕ ปลาลิ่นร้อยละ ๑๘ และปลาซ่งร้อยละ ๑๘ ในระยะเวลาเลี้ยง ๑๑๗ วัน ปลาไนจะ โตจาก ๑๑๐ กรัม เป็น ๕๔๐ กรัม ปลาลิ่นจะโตจาก ๑๕๐ กรัม เป็น ๓๗๐ กรัม และปลาซ่งจะโตจาก ๑๗ กรัม เป็น ๒๐๐ กรัม | |
ปลาเทโพ | |
กระชังที่เลี้ยงปลาควรจะทำด้วยวัสดุที่มีราคาถูก มีความ คงทนและง่ายต่อการรักษาดูแล แต่ในทางปฏิบัตินั้น ก็แตกต่างกันไปตามท้องที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัสดุที่มีใช้อยู่ในท้องที่นั้นๆ รวมทั้งรูปแบบ และการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจ | |
| |
อัตราการปล่อยและผลผลิตปลาในกระชัง ชนิดของปลาที่เลี้ยงในกระชัง คือ ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาช่อน ปลาบู่ ปลาตะเพียน ปลาตะโกก อัตราการปล่อยลูกปลา ขนาด ๓.๘-๖.๓ เซนติเมตร ปลาช่อน ๘๐ ตัวต่อตารางเมตร ปลาสวาย ปลาเทโพ ๙๓ ตัวต่อตารางเมตร ปลาตะเพียน ๓๖๑ ตัว ต่อตารางเมตร และปลาไน ๑๐๗ ตัวต่อตารางเมตร เมื่อเลี้ยง ครบ ๑ ปี ผลผลิตในปริมาตรน้ำ ๑ ลูกบาศก์เมตร จะได้ปลา ตะเพียน ๔๕.๕ กิโลกรัม ปลาสวายหรือปลาเทโพ ๖๒.๑ กิโลกรัม ปลาช่อนชะโด ๑๑๒.๘ กิโลกรัม และปลาไน ๑๓๓.๓ กิโลกรัม สรุปแล้วจะเห็นว่า การเลี้ยงปลาไนในกระชังให้ผลผลิตสูงกว่า การเลี้ยงปลาในบ่อ ๑๐- ๒๐ เท่า |