เล่มที่ 29
อุทยาน ประวัติศาสตร์ ในประเทศไทย
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

๑. ที่ตั้ง

            อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๕๗๐ กิโลเมตร ภูพระบาทเป็นชื่อภูเขาอยู่ในทิวเขาภูพาน ซึ่งทอดยาวอยู่ทางด้านทิศตะวันตก

            เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบริเวณภูพระบาท ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่า เขือน้ำ” โดยขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้จำนวน ๓,๔๓๐ ไร่และได้ดำเนินการพัฒนาให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕

๒. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

            สภาพภูมิประเทศของภูพระบาทมีลักษณะเป็นโขดหินและเพิงผาที่กระจัด กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดจากการผุพังสลายตัวของหินทราย ซึ่งมีเนื้อหินที่แข็งแกร่งแตกต่างกัน ระหว่างชั้นของหินที่เป็นทรายแท้ๆ ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก กับชั้นที่เป็นทรายปนปูนซึ่งมีความแข็งแกร่งน้อยกว่า นานๆ ไปจึงเกิดเป็นโขดหิน และเพิงผารูปร่างแปลกๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

            ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว วิถีชีวิตของผู้คน ในสมัยนั้นดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่า และล่าสัตว์เป็นอาหาร เมื่อขึ้นมาพักค้างแรม อยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติเหล่านี้ก็ได้ใช้เวลาว่างขีดเขียนภาพ ต่างๆ เช่น ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพฝ่ามือ ตลอดจนภาพลายเส้นสัญลักษณ์ต่างๆไว้บนผนังเพิงผาที่ใช้พักอาศัย ซึ่งปรากฏอยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นจำนวนมาก เช่น ที่ถ้ำวัว - ถ้ำคน และภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ ซึ่งภาพเขียนสีบนผนังหินเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาให้ผู้คนในชั้นหลัง ค้นหาความหมายที่แท้จริงต่อไป


หอนางอุสา ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

            นอกจากนี้ ยังได้พบหลักฐานทางวัฒนธรรมสมัยทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ อยู่ด้วย อาทิ การดัดแปลงโขดหินให้เป็นศาสนสถาน โดยมีคติการปักใบเสมาหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้ และลักษณะของพระพุทธปฏิมาบางองค์ที่ถ้ำพระ ก็แสดงถึงอิทธิพลศิลปกรรมสมัยทวารวดีอย่างเด่นชัด ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ อิทธิพลของศิลปกรรมแบบเขมรได้เข้ามามีบทบาทในบริเวณนี้ด้วย เนื่องจากได้พบการสกัดหินเพื่อดัดแปลงพระพุทธรูปที่บริเวณถ้ำพระให้ เป็นรูปพระโพธิสัตว์ หรือเทวรูปในศาสนาฮินดู โดยได้สลักส่วนของผ้านุ่งด้วยลวดลายที่งดงามยิ่ง

            ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ พื้นที่แถบอีสานตอนบนเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะที่อยู่ติดกับลำน้ำโขง ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมลาวหรือล้านช้าง จากการศึกษาพบว่า มีร่องรอยของงานศิลปกรรมสกุลช่างลาวอยู่บนภูพระบาท ดังเห็นได้จากพระพุทธรูปขนาดเล็กบริเวณถ้ำพระเสี่ยง แสดงถึงศิลปะสกุลช่างลาว ส่วนสถาปัตยกรรมในสมัยนี้ได้แก่ เจดีย์ร้าง (อุปโมงค์) ที่สันนิษฐานว่า เดิมอาจใช้สำหรับประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อุรังคธาตุ


บ่อน้ำนางอุสา
ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

            นอกจากภูพระบาทจะมีความสัมพันธ์กับคัมภีร์อุรังคธาตุแล้ว ผู้คนในท้องถิ่นยังได้นำเอาตำนานพื้นบ้าน หรือนิทานพื้นเมืองเรื่อง “อุสา - บารส” มาตั้งชื่อ และเล่าถึงสถานที่ต่างๆ บนภูพระบาทอย่างน่าสนใจด้วยเหตุนี้จึงพบว่า โบราณสถานต่างๆ บนภูพระบาทล้วนมีชื่อเรียกตามจินตนาการจากนิทานเรื่อง “อุสา - บารส” เป็นส่วนใหญ่ อาทิ หอนางอุสา กู่นางอุสา บ่อน้ำนางอุสา วัดลูกเขย วัดพ่อตา คอกม้าท้าวบารส

            อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทมีลักษณะที่แตกต่างจากอุทยานประวัติ ศาสตร์แห่งอื่นๆ ของกรมศิลปากรที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะนอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแล้ว ยังมีความสำคัญทางด้านนิเวศวิทยา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของวนอุทยานภูพระบาทบัวบก ของกรมป่าไม้ ซึ่งมีพืชพรรณทั้งไม้ดอกและไม้ใบขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก


ถ้ำวัว-ถ้ำคน
ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

๓. โบราณสถานสำคัญ

            ภายในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้มีการสำรวจพบโบราณสถานแล้ว ๖๘ แห่ง แบ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ๔๕ แห่ง และสิ่งก่อสร้างที่ดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้เป็นศาสนสถาน ๒๓ แห่ง โบราณสถานทั้งหมดตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะโบราณสถานที่น่าสนใจ และสามารถเข้าชมได้สะดวก ดังต่อไปนี้

            ๑) หอนางอุสา

                        “หอ นางอุสา” ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท มีลักษณะเป็นโขดหินคล้ายรูปเห็ดอยู่บนลาน เดิมเกิดจากการกระทำตามธรรมชาติ ต่อมาคนได้ดัดแปลงโดยการก่อหินล้อมเป็นห้องขนาดเล็กเอาไว้ที่เพิง หินด้านบน มีใบเสมาหินขนาดกลางและขนาดใหญ่ปักล้อมรอบโขดหิน แสดงว่า บริเวณนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล แล้ว

            ๒) ถ้ำพระ

                        “ถ้ำ พระ” เดิมคงเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ ที่เกิดจากก้อนหินขนาดใหญ่วางทับซ้อนกันตามธรรมชาติ ต่อมา คนได้สกัดหินก้อนล่าง ออกจนกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ รวมไปถึงสลักรูปพระพุทธปฏิมาเอาไว้ในห้องอีกด้วย นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยของหลุมเสาด้านนอกเพิงหินเรียงอยู่เป็นแนวในกรอบรูปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า จึงสันนิษฐานว่า เดิมอาจมีการต่อหลังคาเครื่องไม้ออกมาด้านนอก ทำ ให้หลังคาเพิงหินก้อนบนทรุดตัวพังทลาย และส่วนหนึ่งได้ล้มทับพระพุทธปฏิมาจนชำรุดเสียหายไปด้วย


ภาพเขียนสีรูปวัว
            ๓) ถ้ำวัว - ถ้ำคน

                        มีลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่วางทับซ้อนกัน ทำให้เกิดเป็นชะง่อนหิน ที่สามารถใช้หลบแดดหลบฝนอยู่ทางด้านล่างของเพิง ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของเพิงหิน พบภาพเขียนรูปสัตว์และรูปคน จึงเรียกว่า “ถ้ำ วัว - ถ้ำคน”

            ๔) แหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้

                        แหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระพุทธบาทบัวบก บริเวณนี้พบแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนผนังเพิงหินอยู่ ๒ จุด จุดแรกได้แก่ “โนน สาวเอ้ ๑” ซึ่งเป็นโขดหินขนาดใหญ่อยู่กลางลานหิน ภาพเขียนสีบนผนังเขียนด้วยสีแดงคล้ำ เป็นลายเส้นรูปต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีลายเส้นเขียนด้วยสีขาว เป็นภาพช้าง หงส์ และม้า ซึ่งจากฝีมือที่ปรากฏสันนิษฐานว่า เป็นงานที่เขียนขึ้นในสมัยหลัง ถัดจากโนนสาวเอ้ ๑ ออกไปประมาณ ๕ เมตร เป็นที่ตั้งของแหล่งภาพเขียนสี “โนน สาวเอ้ ๒” ซึ่งปรากฏภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เช่นกัน บนผนังเพิงหินด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ ภาพเขียนสีที่พบได้แก่ ภาพลายเส้นคู่ขนานต่อกันเป็นรูปหลายเหลี่ยม ภาพวงกลมคล้ายลายก้านขด ภาพลายเส้นคล้ายสัตว์ที่มี ๔ ขา

            อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นแหล่งรวบรวมสิ่งสำคัญ ทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรม และทางด้านธรรมชาติเข้าด้วยกัน มานานนับเป็นพันปี จึงเป็นมรดกสำคัญที่ ชนชาวไทยควรจะต้องช่วยกันรักษาให้คงไว้ตลอดไป