พาหนะของคนในชนบทที่ใช้กันมากในอดีต คือ เกวียน ซึ่งใช้ในการเดินทาง และบรรทุกสิ่งของ ในสังคมเกษตรกรรม แต่ละครอบครัวจำเป็นต้องมีเกวียนไว้ใช้ ซึ่งถ้าพิจารณาทางด้านสถาปัตยกรรมแล้ว เกวียนก็เปรียบเสมือนเรือนเคลื่อนที่ ของเกษตรกร
ในอดีตมีการใช้เกวียนเป็นพาหนะหลักในการเดินทางหรือบรรทุกสิ่งของ
ประเภทของเกวียนและบทบาทในสังคมไทย
เกวียนแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทหลัก คือ เกวียนเทียมวัว และเกวียนเทียมควาย แต่ทั่วไปมักเรียกกันว่า เกวียนวัว และเกวียนควาย เกวียนวัวมีขนาดเล็กกว่าเกวียนควาย ทำให้มีความคล่องตัว จึงเหมาะกับสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นที่ดอนสูง ป่าดง มีหล่มโคลนน้อย เช่น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน ส่วนเกวียนควายเหมาะกับที่ราบลุ่ม มีหล่มโคลนมากกว่า เช่น ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้
เนื่องจากเกวียนเป็นพาหนะที่ใช้สำหรับการเดินทางไกลและบรรทุกหนัก โครงสร้างและส่วนประกอบของเกวียนส่วนใหญ่ จึงจำเป็นต้องใช้ไม้เนื้อแข็ง มีการเลือกไม้บางชนิดให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานในแต่ละส่วนของเกวียนด้วย คือ ไม้พยุง ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้เต็ง ไม้เค็ง ไม้พะยอม ไม้ตะเคียน ไม้ชาด ไม้เหลื่อม ไม้กระทุ่ม ไม้จิก ไม้เพกา ฯลฯ เพราะนอกจากจะใช้บรรทุกข้าวเป็นประจำทุกปีแล้ว หลายแห่งก็มักมีการรวมกลุ่มกันใช้เกวียนเป็นพาหนะ สำหรับต้อนวัวควายไปขายถึงภาคกลางและภาคตะวันออกในครั้งหนึ่งๆ เป็นเวลานาน บางครั้งเป็นเดือน รวมทั้งรับจ้างพ่อค้า ในการบรรทุกลำเลียงสินค้า ข้าว และของป่าจากทุ่งนาป่าดงไปยังจุดขนถ่ายสินค้าทางเรือหรือทางรถไฟ นอกจากนี้ เมื่อมีงานบุญประเพณีต่างๆ ก็ยังใช้เกวียนร่วมขบวนแห่ หรือใช้เป็นพาหนะ สำหรับเดินทางไปนมัสการปูชนียสถานทั้งใกล้และไกล ตามโอกาส
แม้ว่าในสังคมเกษตรกรรมนำเกวียนมาใช้เพื่อบรรทุก ขนส่ง และเดินทางในแต่ละท้องถิ่นก็ตาม แต่ช่างเกวียนก็ยังสร้างสรรค์ความงามให้แก่เกวียน โดยใช้วิธีต่อเติมและเพิ่มเติม คือ ต่อเติมชิ้นส่วนต่างๆ ของเกวียน ให้มีรูปร่างอ่อนช้อยงดงามมากขึ้นกว่าปกติ และเพิ่มเติมด้วยการเลือกใช้วัสดุตกแต่ง เขียนภาพระบายสี หรือสลักลวดลายต่างๆ ทำให้เกวียนมีคุณค่าและมูลค่าเพิ่มมากขึ้น จนเป็นเสมือนเครื่องแสดงสถานภาพทางสังคมและฐานะของเจ้าของเกวียนอีกด้วย
ความสัมพันธ์ของคนไทยกับเกวียน
คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรมีความผูกพันกับเกวียน และต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะ ดังนั้น จึงพบว่า เกวียนได้เข้ามาเกี่ยวข้องในวิถีชีวิตหลายอย่าง ดังเห็นได้จากนิทาน ตำนาน ประวัติศาสตร์ รวมทั้งผญาภาษิต คำพังเพย และการละเล่นของเด็ก เช่น นิทานเรื่องเทวดากับคนขับเกวียน นิทานเรื่องโคนันทวิศาล นิทานเรื่องคันธนามโพธิสัตว์ หรือท้าวคันธนาม ตำนานพระธาตุพนม ตอนทรงปรารภบุพกรรมของพระพุทธเจ้า ตอนสละคนเป็นข้าโอกาสและตั้งบ้านธาตุพนม ในพงศาวดารโยนก เรื่องพระยามังรายตั้งเมืองเชียงใหม่ มีการเปรียบเทียบให้เห็นว่า มีการใช้เกวียนเป็นพาหนะ รวมทั้ง ผญาภาษิต คำพังเพยที่เป็นคติคำสอนในการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม และการละเล่นของเด็กที่เรียกว่า โค้งตีนเกวียน หรือระวงตีนเกวียน
รถบรรทุกที่นำมาใช้ในการขนส่งสินค้าแทนเกวียน
เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง การคมนาคมทางรถไฟที่เป็นผลจากการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มเข้ามามีบทบาท ในการบรรทุกขนส่งและการเดินทาง แทนที่บทบาทของเกวียน แม้จะมีการใช้เกวียน แต่มีระยะทางสั้นลง ประกอบกับในรัชกาลที่ ๕ มีการใช้กฎข้อบังคับ เพื่อควบคุมการใช้เกวียน และในรัชกาลที่ ๖ มีการกำหนดให้จดทะเบียนใบอนุญาตขับรถ รวมทั้ง ในรัชกาลที่ ๘ มีการตราพระราชบัญญัติล้อเลื่อน พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงทำให้มีผลกระทบต่อการทำเกวียนและการใช้เกวียนด้วย
เกวียนที่ไม่ได้นำมาใช้งานเหมือนในอดีต จึงถูกทิ้งไว้ใต้ถุนบ้าน
สมัยต่อมามีการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน เช่น ในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีการสร้างถนนมิตรภาพ ตามมาด้วยการสร้างถนนสายรองเชื่อมชุมชนเมือง และชนบทอย่างต่อเนื่อง ทำให้การคมนาคมด้วยรถยนต์ทุกขนาด เข้ามีบทบาทแทนเกวียนมากขึ้นอย่างชัดเจน เพราะสะดวกและรวดเร็วกว่า ส่งผลให้เกวียนที่เคยใช้กันในทุกครอบครัวค่อยๆ ถูกนำไปเก็บไว้ใต้ถุนบ้าน โดยขาดการดูแลรักษา จนเป็นเกวียนร้าง เพราะไม่ได้ใช้งาน ปัจจุบัน ช่างเกวียนก็เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น เพราะไม่มีคนสั่งทำเกวียน ทำให้ไม่มีการสืบทอดภูมิปัญญาด้านนี้
ในปัจจุบันมีการแสวงหาเกวียนที่ถูกทิ้งร้างไว้ เพื่อการอนุรักษ์ หรือนำไปถอดชิ้นส่วนแปรรูป บางครั้งมีการสั่งทำเกวียนใหม่ แต่แม้จะสั่งทำใหม่ ก็หาไม้เนื้อแข็งมาทำได้ยาก บรรดาช่างเกวียนที่เหลืออยู่ก็ต้องปรับเปลี่ยนมาทำเกวียนแบบย่อส่วน เพื่อใช้เป็นของที่ระลึก และตั้งแสดงเท่านั้น