มะคาเดเมียเป็นพืชที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๐ ปี เนื้อไม้มีประโยชน์ในด้านใช้สอย โดยนำมาทำเป็นไม้ซุง หรือไม้สำหรับทำเครื่องเรือนตกแต่งบ้าน หากมีอายุตั้งแต่ ๓๐ ปีขึ้นไป มะคาเดเมียเป็นพืชเคี้ยวมันเช่นเดียวกับมะม่วงหิมพานต์ แต่ราคาแพงกว่ากันมาก พันธุ์มะคาเดเมียค้นพบครั้งแรกที่ประเทศออสเตรเลีย และแพร่หลายไปยังสหรัฐอเมริกา โดยปลูกกันมากในรัฐฮาวาย นับเป็นสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออกที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน
พันธุ์มะคาเดเมียในประเทศไทย
ในประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พัฒนาพันธุ์มะคาเดเมีย และคัดเลือกพันธุ์ เพื่อแนะนำให้เกษตรกรปลูกเป็นการค้าในปัจจุบัน ๓ พันธุ์ คือ
มะคาเดเมียพันธุ์เชียงใหม่ ๔๐๐ พันธุ์เชียงใหม่ ๗๐๐ และพันธุ์เชียงใหม่ ๑๐๐๐ เป็นพันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก
๑. พันธุ์เชียงใหม่ ๔๐๐ (HAES 660)
เป็นพันธุ์เบา ออกดอกดก ใช้ปลูกร่วมกับพันธุ์อื่นเพื่อช่วยผสมเกสรให้แก่พันธุ์อื่น ในอัตราส่วนพันธุ์เชียงใหม่ ๔๐๐ จำนวน ๑ แถว ต่อพันธุ์อื่น ๓ แถว มะคาเดเมียพันธุ์เชียงใหม่ ๔๐๐ เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูงจากระดับทะเลปานกลาง ๗๐๐ เมตรขึ้นไป ถ้าเป็นพื้นที่สูงจากระดับทะเลปานกลาง ๔๐๐-๖๐๐ เมตร ก็ต้องอยู่ในแนวเส้นละติจูด ๑๙.๘ องศาเหนือขึ้นไป ได้แก่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ข้อเสียคือ ผลมีขนาดเล็ก มีจำนวนเมล็ด ๑๗๕-๑๙๐ เมล็ดต่อกิโลกรัม ผลิตผลเมล็ดทั้งกะลา จำนวน ๑๓-๒๐ กิโลกรัมต่อต้น (อายุ ๑๔ ปี) ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและสภาพพื้นที่
แปลงปลูกมะคาเดเมียสามารถปลูกพืชอื่นแซมระหว่างแถวได้ เช่น กาแฟ สตรอว์เบอร์รี่ ผักต่างๆ เป็นรายได้เสริม
๒. พันธุ์เชียงใหม่ ๗๐๐ (HAES 741)
ผลมีขนาดค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักเนื้อในสูงกว่าพันธุ์เชียงใหม่ ๔๐๐ และพันธุ์เชียงใหม่ ๑๐๐๐ เมล็ดเนื้อในสีขาวสวยเป็นที่ดึงดูดตา เจริญเติบโตดี ให้ผลิตผลสูง และมีคุณภาพดีในพื้นที่สูงจากระดับทะเลปานกลาง ๗๐๐ เมตรขึ้นไป ผลิตผลเมล็ดทั้งกะลา จำนวน ๑๕-๓๐ กิโลกรัมต่อต้น (อายุ ๑๔ ปี)