อัญมณีกับความเชื่อ
การใช้อัญมณีอย่างจริงจังในด้านต่างๆ มีมานานกว่า ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ในอียิปต์ จีน อินเดีย ต่อเนื่องในกรีก โรมัน จนขยายมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อัญมณีที่เป็นที่นิยมรู้จักในสมัยเริ่มแรก ได้แก่ แอเมทิสต์ ควอตซ์ ผลึกใส การ์เนต ลาพิส-ลาซูลี ไข่มุก ปะการัง แจสเพอร์ หยก มรกตเทอร์คอยส์ เป็นต้น โดยมีรูปแบบของอัญมณีเป็นแบบง่ายๆ เช่น เป็นเม็ดกรวดกลม มน ลูกปัด แกะสลัก ฯลฯ และมักใช้โลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง ฯลฯ ร่วมประกอบเป็นเครื่องประดับต่างๆ ด้วย นอกจากจะใช้ประโยชน์ทางด้านความสวยงาม ทั้งทางกาย และสถานที่แล้ว อัญมณีต่างๆ ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกันภัย พิษร้าย โรคร้าย ความชั่วร้ายต่างๆ เป็นเครื่องแสดงถึงความมีฐานะ ความมีอำนาจ ความมั่งคั่ง ใช้เป็นยารักษาโรค หรือแม้กระทั่งใช้แทนเงิน ในสมัยก่อนนั้น ความเจริญ ความรู้ ความเข้าใจ ทางด้านวิทยาศาสตร์ของมนุษย์เรายังมีน้อย หรือมีจำกัดอยู่ในบางที่ บางวัฒนธรรมเท่านั้น คนโบราณจึงมักจะเชื่อถือในอำนาจลึกลับ ความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ตลอดจนเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆ เลยถือกันว่า อัญมณีแต่ละอย่างแต่ละชนิด จะมีพลังอำนาจพิเศษที่ว่านี้ซ่อนเร้นอยู่ สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้ใช้ และผู้สวมใส่ได้แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น แอเมทิสต์ ในสมัยกรีกเชื่อว่า ป้องกันความเมามายได้ ทับทิม หรือการ์เนตสีแดง ก็เชื่อว่า ป้องกันพิษ รักษาโรค บาดแผลต่างๆ ได้ เป็นต้น ซึ่งแม้ในสมัยต่อมาจะมีการขุดพบอัญมณีชนิดต่างๆ มากขึ้น มีรูปแบบของการตัด ขัด แต่ง เจียระไนต่างๆ มากมาย แต่การใช้ประโยชน์ และความเชื่อต่างๆ ของอัญมณีของมนุษย์ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ความคิด และความเชื่อแบบนี้ สามารถพบเห็นได้ในทุกวัฒนธรรม ทุกสังคม ทุกสมัย แม้แต่ในสังคมปัจจุบันนี้ ที่ความเชื่อถืออาจจะลดน้อยลงไปบ้าง เนื่องจากความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มีมากขึ้น แต่ก็มีพบเห็นได้บ้าง
ควอตซ์สีดอกตะแบก