เล่มที่ 38
โรคกระดูกและข้อในเด็ก
สามารถแชร์ได้ผ่าน :
โรคของขาและเข่าในเด็ก            

ขาโก่งและขาเกตามธรรมชาติ (Physiologic bowlegs and knocked knees)

หมายถึง ขาโก่งและขาเกโดยเป็นปกติไม่มีโรค

การวินิจฉัย

            ใช้วิธีการตรวจร่างกายในการวินิจฉัย ยกเว้นหากมีข้อสงสัย จึงส่งตรวจภาพรังสีเพิ่มเติม มักเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กแรกเกิดถึง ๗ ปี จากการศึกษาของซาลิเนียส (Salenius) เรื่องมุมของต้นขากับแข้งของเด็กปกติ ในเด็กที่อายุต่างกัน พบว่า เด็กแรกเกิด จะมีขาโก่ง (bowlegs) โดยเมื่อวัดจากมุมระหว่างกระดูกต้นขาและแข้งได้ประมาณ ๑๕ องศา หลังจากนั้นจะค่อยๆ ตรงขึ้น จนมุมเป็นแนวตรง (neutral) เมื่ออายุประมาณ ๒ ปี ส่วนนี้เรียกว่า ขาโก่งตามธรรมชาติ ต่อจากนั้นขาจะค่อยๆ เกออกหลังจากอายุ ๒ ปี จนมากที่สุดในช่วงอายุ ๓ ปี โดยอยู่ที่ประมาณ ๑๒ องศา แล้วค่อยๆ ลดลงเหลือประมาณ ๗ องศา เท่ากับผู้ใหญ่ เมื่ออายุประมาณ ๗ ปี ส่วนนี้เรียกว่า ขาเกตามธรรมชาติ


ขาเกตามธรรมชาติในเด็กชายอายุ ๓ ปี ซึ่งจะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา

ปัจจัยที่ควรจะสงสัยว่าเป็นขาโก่งหรือขาเกจากโรค มีดังนี้

๑) เป็นข้างเดียว
๒) มุมมากกว่าปกติ เช่น เกิน ๑๕ องศา
๓) อายุไม่ตรงตามธรรมชาติ เช่น อายุ ๒ ปีขายังโก่งอยู่
๔) กระดูกโก่งหรือเกบิดไปหลายมิติ ถ้าเป็นตามธรรมชาติจะโก่งเกมิติเดียว
๕) มีลักษณะโรค ที่พบบ่อย เช่น โรคเบลาต์ โรคกระดูกอ่อน โรคกระดูกพันธุกรรม

การรักษา

            เนื่องจากภาวะนี้ไม่ได้เป็นโรค ดังนั้น จึงไม่ต้องรักษา บางคนเกิดจากพันธุกรรมขาโก่งหรือเกมากเกินไป ทำให้ไม่สวยงาม เรียกว่า โรคขาโก่งเกตามธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ (persistent physiologic bowed leg or knocked knee) อาจพิจารณาแก้ไขได้ในบางราย

โรคกระดูกแข้งส่วนต้นโก่งทิเบียวารา (Tibia vara) หรือโรคเบลาต์ (Blount’s disease)

การวินิจฉัย

            การส่งตรวจภาพรังสีมีความจำเป็นในกรณีเด็กที่มีอายุ ๒ ปีแล้วแต่ขายังโก่ง เมื่อดูจากภาพรังสีมีการเปลี่ยนแปลง ๖ ระยะ ของแลงเกนสกิโอลด์ (Langenskiold) เนื่องจากเป็นภาวะขาโก่งที่เกิดจากการเจริญเติบโตที่น้อยลงของแผ่นการสร้างกระดูก บริเวณด้านในของกระดูกแข้งส่วนต้น (proximal medial tibial physis) เกิดจากเด็กอ้วน และน้ำหนักกด จนการเติบโต ของกระดูกแข้งส่วนต้นด้านในน้อยลง ทำให้มีขาโก่งมากขึ้นแม้อายุจะมากกว่า ๒ ปี โดยพบว่าเป็นทั้ง ๒ ข้างถึงร้อยละ ๕๐-๘๐ ประเทศไทยพบมากขึ้น เนื่องจากเด็กไทยอ้วนขึ้นมากกว่าแต่ก่อน


ก) การเปลี่ยนแปลง ๖ ระยะในโรคเบลาต์ ของแลงเกนสกิโอลด์ ระยะที่ ๑, ๒ และ ๓ บนจากซ้ายไปขวา
ข) ภาพรังสีโรคเบลาต์ระยะที่ ๒ เป็น ๒ ข้าง
ค) ภาพขาผู้ป่วยเด็กชายก่อนผ่าตัด เมื่ออายุ ๓ ปี
ง) ภาพขาหลังผ่าตัดให้ขาเกออก
( ก) ดัดแปลงจาก Langenskiold, A., "Tibia vara." J Pediatr orthop 14,2 (1994): 152-5.

การรักษา

            ในระยะต้น มีเป้าหมายเพื่อให้แผ่นการสร้างกระดูกทางด้านในของกระดูกแข้งส่วนต้นมีการเจริญเติบโตกลับมาเป็นปกติ แพทย์อาจใช้อุปกรณ์เสริมช่วยประคองข้อเข่า (Knee-Ankle-Foot orthosis) เพื่อไม่ให้ขาโก่งเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเด็กอายุมากกว่า ๓ ปี และเป็นในระยะที่ ๓ ของแลงเกนสกิโอลด์ หรือเด็กใส่อุปกรณ์เสริมแล้วไม่ได้ผลดี อาจจำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด ตรงกระดูกแข้งส่วนต้น เพื่อแก้ไขแนวของกระดูกขาให้เกออก และให้แผ่นการสร้างกระดูกเจริญเติบโตได้ต่อไปตามปกติ ในผู้ป่วยบางรายที่มารักษาช้าเกินไป จะมีการเชื่อมปิด (arrest) ของแผ่นการสร้างกระดูกทางด้านในของเข่า ทำให้เกิดการเป็นซ้ำ อาจต้องผ่าตัดหลายครั้ง เด็กอ้วนที่ขาโก่งและอายุเกิน ๒ ปี ควรส่งตรวจภาพรังสีเพื่อหาโรคนี้

ขาโก่งเกจากโรคต่างๆ

การวินิจฉัย

พบน้อยกว่าโรคเบลาต์มาก ในโรคกระดูกอ่อน ที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคกระดูกอ่อนจากฟอสเฟตต่ำ (hypophosphatemic rickets) ต่างจากโรคเบลาต์ เมื่อเจาะเลือดแล้วมีฟอสเฟตต่ำ ส่วนในโรคกระดูกพันธุกรรมอาจพบโรคอะคอนโดรเพลเซีย

ก) เด็กวัยรุ่นชายจากโรคกระดูกอ่อนฟอสเฟตต่ำ ขาขวาฉิ่งออก ขาซ้ายโก่ง
ข) ภาพรังสี พบว่า แผ่นการสร้างกระดูกกว้างออก (ลูกศรขาว)


การรักษา

            โรคกระดูกอ่อนจากฟอสเฟตต่ำ กุมารแพทย์ทางต่อมไร้ท่อจะให้การรักษาด้วยการให้แคลเซียม วิตามินดี และฟอสเฟต จนฟอสเฟตกลับมาเป็นปกติ หากขาโก่งเกเกินกว่า ๒๐ องศา ควรผ่าตัดแก้ไข

กระดูกแข้งโก่งแต่กำเนิด (Congenital bowing of tibia)

แบ่งออกเป็น การโก่งด้านหน้าออกนอก (congenital anterolateral bowing) และการโก่งด้านหลังเข้าใน (congenital posteromedial bowing)