โรคพาร์กินสันเป็นโรคชนิดหนึ่งที่มักเกิดกับผู้สูงอายุ ซึ่งโดยมากมักเริ่มเป็นโรคนี้ในช่วงอายุระหว่าง ๕๐ - ๗๐ ปี ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ จะมีอาการสั่นที่มือหรือเท้า เดินตัวเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายได้ช้า และทรงตัวลำบาก โรคนี้เกิดเนื่องมาจาก ความผิดปกติทางสมอง ที่ไม่สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายได้เช่นคนปกติธรรมดา
โรคพาร์กินสันมาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๙๘ - ๒๓๖๗ นายแพทย์ผู้นี้ ได้เขียนรายงานเกี่ยวกับโรคนี้ ออกเผยแพร่เป็นคนแรก ดังนั้น ในวงการแพทย์จึงตั้งชื่อโรคนี้ให้เป็นเกียรติแก่ท่าน
ในสมัยก่อนเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคนี้ว่าเกิดขึ้นที่บริเวณส่วนใดของสมอง และไม่สามารถรักษา ให้ทุเลาลงได้ ผู้ป่วยจึงต้องทนทรมานกับโรค จนในที่สุดก็เสียชีวิต โดยมีอายุยืนนานได้เฉลี่ยราว ๙ ปี หลังจากป่วยเป็นโรคนี้ ในระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยมักต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา เพราะเดิน และเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และมีโรคแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้น เช่น โรคปอดอักเสบ โรคระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสโลหิต โรคแผลกดทับ เนื่องจากต้องนอนอยู่บนเตียงนานๆ โดยไม่มีการขยับเขยื้อนตัว
ปัจจุบันวงการแพทย์ได้ศึกษาทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคพาร์กินสันอย่างค่อนข้างละเอียด และทราบว่า โรคนี้ เกิดจากการตายของเซลล์สมอง ในบริเวณก้านสมอง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารชนิดหนึ่งเรียกว่า สารโดปามีน สารนี้ ควบคุมการทำงานและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆ ทั่วร่างกาย ในคนปกติ เซลล์สมองที่บริเวณก้านสมอง ซึ่งทำหน้าที่สร้างสารโดปามีนมีอยู่ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ ตัว แต่หากมีการตายหรือการลดลงของเซลล์สมองเหล่านี้ จนเหลือประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ตัว สมองก็จะขาดสารโดปามีน ทำให้เป็นโรคพาร์กินสันได้
วิธีชะลอความชรา เช่น อยู่ในที่อากาศดี ตรวจวัดความดันโลหิต เจาะเลือดตรวจสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารเสพติด และเลือกรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน มีอาการต่างๆ ที่แสดงให้เห็นได้ดังนี้ คือ
๑. อาการสั่น
ในระยะแรกๆ ของการเป็นโรค ผู้ป่วยมักมีอาการสั่นที่มือ หรือเท้าเมื่อยืนหรือนั่งอยู่นิ่งๆ หากผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว เช่น ยื่นมือออกมาทำกิจกรรมใดๆ อาการสั่นนี้จะลดลง หรือหายไป ในกรณีของผู้ป่วยในระยะท้ายๆ อาจเกิดอาการสั่นตลอดเวลา แม้ในขณะที่มีการเคลื่อนไหว การสั่นนอกจากจะเป็นที่มือ หรือนิ้วมือ แล้วอาจเกิดขึ้นที่บริเวณขา ปาก ลิ้น หรือคาง ด้วยก็ได้
๒. อาการเกร็ง
เกิดจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อในขณะที่ผู้ป่วยไม่ได้ออกแรงต้าน โดยอาจมีอาการเกร็งที่บริเวณแขน ขา หรือลำตัว อาการเกร็งจะเป็นมากขึ้นในขณะที่ผู้ป่วยยืน หรือพยายามจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่จะลดลง เมื่อล้มตัวลงนอน หรือในภาวะที่มีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
๓. อาการเคลื่อนไหวช้า
มีได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นบริเวณกล้ามเนื้อส่วนใดของร่างกาย เช่น ถ้าเกิดกับกล้ามเนื้อที่บริเวณใบหน้า ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหน้าไม่แสดงอารมณ์ คล้ายกับการสวมหน้ากาก หากเกิดกับกล้ามเนื้อที่บริเวณกล่องเสียง ก็จะทำให้พูดเสียงเบาๆ และราบเรียบเป็นระดับเดียวกัน หรือมีอาการพูดไม่ชัด หากเกิดกับกล้ามเนื้อที่บริเวณแขนและขา อาจทำให้ผู้ป่วยเดินไม่แกว่งแขนสลับกับการก้าวของขา จึงมีลักษณะการเดินคล้ายกับหุ่นยนต์
๔. การเสียการทรงตัว
ในระยะแรกๆ กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเดินมีการเคลื่อนไหวช้า หรือเคลื่อนไหวน้อยผิดปกติ อันเนื่องมาจาก การเสียการทรงตัวของร่างกาย ก็ทำให้หกล้มง่าย ต่อมา เมื่อผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น จะเดินไม่ได้ และต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา
การบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีหลายวิธีตามระยะเวลาของการเป็นโรค หากเป็นการบำบัดรักษาในระยะเริ่มต้น ก็ให้ยาที่สามารถทำให้ผู้ป่วยกลับคืนสู่สภาพปกติ หรือชะลอมิให้โรคทรุดหนักลง การให้ยามีหลายอย่างตามความเหมาะสม แต่เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรัง ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาตลอดชีวิต จึงต้องคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ป่วยด้วยว่า จะสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่ หากต้องซื้อยาในราคาแพง และรักษาติดต่อกันไปตลอดชีวิต
การบำบัดรักษาผู้ป่วยที่มีอาการมากและเป็นมานาน นอกจากจะให้ยาแล้ว อาจใช้วิธีการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าไว้ในสมอง ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สนองตอบต่อการให้ยาอีกต่อไปแล้ว วิธีการบำบัดรักษาโดยการผ่าตัดนี้ แม้จะได้ผลดีแต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก คือ ประมาณ ๑ ล้านบาท ต่อผู้ป่วย ๑ ราย
เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรัง และต้องมีการบำบัดรักษาเป็นเวลานาน จึงเป็นภาระแก่คนที่ต้องดูแลผู้ป่วย ดังนั้น การป้องกันมิให้เกิดโรคนี้ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยมีหลักการเหมือนกับการชะลอความชราของผู้สูงอายุโดยทั่วไป คือ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และสารเสพติดทุกชนิด รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบทุกหมู่ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดโรคอ้วน โรคขาดสารอาหาร โรคไขมันในเลือดสูง (อาหารมัน) โรคเบาหวาน (อาหารหวาน) โรคความดันโลหิตสูง (อาหารเค็ม) นอกจากนี้ ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อากาศดี มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี สิ่งเหล่านี้ หากนำมาปฏิบัติได้ทั้งหมด จะทำให้สามารถป้องกันโรคพาร์กินสันได้ในระดับหนึ่ง